เปลี่ยนคอร์ส Fine Dining แบบเกร็ง ๆ ให้สนุกแบบจอย ๆ ไม่เหมือนเคยที่ ร้าน Vikarn Bangkok ที่มาพร้อมธีม Bangkok Nightlife

ใครที่ชื่นชอบการอาหาร Fine Dining แบบ Tasting Menu คงคุ้นเคยกับบรรยากาศที่เคร่งขรึม สุขุม ไม่หวือหวามากนัก แต่ร้านที่เราพาไปลิ้มลองวันนี้ บอกเลยว่าฉีกทุกกฎของ Fine Dining เพราะเค้ามาพร้อมคอนเซปต์ไม่ธรรมดา ที่จะเปลี่ยนคอร์สหรูแบบเกร็ง ๆ ให้เป็นคอร์สสนุกแบบจอย ๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ร้าน Vikarn Bangkok ย่านสาธุประดิษฐ์

Vikarn Bangkok ซ่อนตัวอยู่ในตึกสีดำ ในซอยสาธุประดิษฐ์ 4 เป็นร้าน Fine Dining ฝีมือคุณ ปราง – ปรางค์บุญ แสงอำพันธ์ Owner สาวที่จองคอร์ส Fine Dining เป็นประจำ และเป็นสายดื่ม ชอบปาร์ตี้ ชอบความสนุก

จุดเริ่มต้นในการเปิดร้าน Fine Dining ที่มีคอนเซปต์ใหม่ เธอเล่าว่าเดิมทีเป็นพนักงานประจำ แต่ก็มีธุรกิจอย่างอื่นที่ทำด้วยควบคู่ไป ทั้งเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือใบบัว ทำบาร์ หลากหลายแนวมาก แต่เป็นการทำกับเพื่อน ๆ ไม่ได้ไปลงดีเทลมาก พอถึงจุดที่อยากทำอะไรที่เป็นของตัวเองจริง ๆ เลยมานั่งคิดว่าตัวเองชอบอะไร ก็ออกมาเป็นชอบ Fine Dining และ ชอบปาร์ตี้ เลยคิดว่าถ้าเอา Combination ของ Fine dining กับผับมารวมกันน่าจะสนุก เลยเกิดเป็นร้าน Vikarn Bangkok

“เรามองว่าจุดเด่นของเรา คือ ความเอนเตอร์เทน Fine dining ทั่ว ๆ ไป จะเน้นอาหารอร่อย เซอร์วิชดี หรือถ่ายรูปสวย แต่ที่นี่นอกจากมี 3 ข้อนั้น เรายังเพิ่มความสนุก ให้มาเอนจอยได้เต็มที่ แบบไม่ต้องเกร็ง มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับบ้าน” 

ชื่อร้าน Vikarn ก็มาจากคำว่า ‘ยามวิกาล’ และวางธีมหลักที่จะเป็นแกนหลักของร้านคือ ‘Bangkok Nightlife’ ที่จับเอาความสนุกของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนมาตีโจทย์เป็นคอร์สสนุก ๆ ซึ่งมาจากตัวคุณปรางที่ชอบเที่ยว ชอบเต้น และชอบเอนจอยกรุงเทพยามค่ำคืน

โดยคอร์สเมนูจะตั้งไว้เป็นซีซัน และสลับสับเปลี่ยนไปกันไป 3-5 เดือน โดยซีซันแรก เป็นคอร์สชื่อว่า Clockwise ที่แปลว่าตามเข็มนาฬิกา จับเอาเมนูไทย ๆ มาเล่าเรื่อง ไล่เรียงตั้งแต่ของว่างยามบ่าย ไปถึงช่วง Party และ After Party ของนักดื่มในกรุงเทพฯ

คุณปรางเล่าว่า ที่ซีซันแรกเป็นอาหารไทย เกิดจากการตีโจทย์มาจากธีม Bangkok Nightlife มองว่า คำว่ากรุงเทพยามค่ำคืนมีอาหารหลายประเภทมาก ๆ ทั้งอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น ตะวันตก อินเดีย ที่ Vikarn เลยสามารถไปได้ทุก Cuisine ไม่ได้จำกัดว่าเป็นอาหารประเภทไหน แต่ว่าในซีซันแรก วางไว้เป็นอาหารไทยก่อน ซีซันถัดไปก็จะได้เจอกับ Cuisine อื่น ๆ ด้วย

ความสนุกของ Fine Dining ที่ Vikarn เริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อเมนู ที่หยิบเอาชื่อเพลงดัง ๆ หรือเพลงที่เป็นไวรัลมาจับคู่เชื่อมโยงเข้ากับคอนเซปต์อาหาร อย่างเมนู ‘ฟ้าดินแยกเราเท่าไหร่ไม่ขาด’ เพลงจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาส นำมาเป็นชื่อเมนู หมี่กรอบชาววัง หรือ ‘บุญบั้งไฟเดือนหก กลับบ้านเรามาเอาบุญเดือนหก’ นำมาแทนเมนูลาบเป็ด ที่เสิร์ฟในสไตล์ทาร์ทาร์แบบฝรั่งเศส (ในเมนูยังมีกิมมิกสนุก ๆ ให้มาเติมคำกันด้วย)

อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่เหมือน Fine dining ที่ไหนแน่ ๆ คือตอนเสิร์ฟ ที่ Vikarn จะเพิ่มความสนุกด้วยการร้องเพลงและเต้นโชว์ก่อนเสิร์ฟ (ในบางเมนู) ซึ่งทีมงานที่นี่จะมีความเอนเตอร์เทนในตัวค่อนข้างสูง ช่วยสร้าง Mood สนุก ๆ ให้กับลูกค้า คัดมาแล้วว่าม่วนจอยทุกคน ตรงตาม DNA คุณปรางวางไว้

“ปกติ Fine dining ก็จะเกร็ง ๆ เบา ๆ แต่ร้านนี้เอนจอยได้เต็มที่ วิธีเซอร์วิชของร้านเราก็สนุก มีการร้องเพลง เต้นให้ลูกค้า ลูกค้าก็จะค่อนข้างเอนจอย เป็นโจทย์ที่เราคิดไว้ตั้งแต่แรกเลย เพราะเราเป็นคนสนุก ชอบร้องชอบเต้น เราเลยอยากให้ Mood and Tone ของร้านคือ DNA ของเรา”

แต่ถ้าใครอยากได้ไวบ์ Fine Dining แบบจริงจังหน่อย มีการอธิบายคอนเซปต์เมนูอาหาร ที่เน้นดีเทลจ๋า ๆ สามารถเลือกนั่งที่หน้าบาร์ชั้น 1 ได้เลย ชั้นล่างจะเป็นครัวแบบเปิด มี 8 ที่นั่ง ตรงนี้เชฟจะเป็นคนเสิร์ฟเองเลย คุณปรางแอบเมาท์ว่า เฮดเชฟและทีมเชฟที่นี่ จะมีความคูล ๆ เท่ ๆ หน่อย ตามสไตล์เชฟเลย

Vikarn Bangkok พาไปเอนจอยกรุงเทพฯ บ่ายจรดค่ำ กับคอร์ส Clockwise

สำหรับคอร์ส Clockwise (3,200 บาท++) จะมีทั้งหมด 11 เมนู และเครื่องดื่มอีก 3 เมนู สไตล์อาหารจะเป็นแนว Twist หน้าตากับรสชาติ หน้าตาสวยงามแปลกใหม่ แต่ซ่อนรสชาติที่คุ้นเคยไว้

เริ่มคอร์สจะมี Welcome Drink รสชาติเปรี้ยวหวานช่วยเปิดรสสัมผัส จากนี้นั้นเริ่มกันที่เมนู ฟ้าดินแยกเราเท่าไหร่ ไม่ขาด เมนูนี้เป็นหมี่กรอบชาววัง ที่สื่อถึงยามบ่ายในย่านตลาดพลู ที่มีหมี่กรอบเจ้าดังที่คุณย่าชอบกิน และเป็นเมนูค่อนข้างหากินยาก เชฟนำมายกระดับ โดยเพิ่มหอยเชลล์ที่นุ่มกำลังดี และมีส้มซ่าปลาย ๆ ช่วยเพิ่มความสดชื่น

ต่อมากเป็น DESPACITO QUIERO RESPIRAR TU CUELLO DESPACITO เพลงสเปนที่มาพรีเซนต์เมนู ทาโก้แกงคั่วปู ที่สื่อถึงอาหารว่างยามค่ำจากย่านพระนคร ปรับสูตรจากขนมเบื้องญวนร้านอร่อย มาเป็นแป้งทาโก้แทน ท็อปด้วยเนื้อปูย่างซอสแกงคั่วเข้มข้น ด้านบนมีดรอปของกัวคาโมเลดรอป กะทิ พริกดอง และหอมแดงดองเพิ่มรสชาติ

ขยับเลเวลความเข้มข้นด้วยเมนูแซ่บ ๆ อย่าง กุ้งแช่ กุ้งแช่ อ้อนแม่ไปกินกุ้งแช่ สื่อถึงอาหารเย็นยามค่ำย่านบางลำพู ซึ่งเป็นย่านที่มีซีฟู้ดค่อนข้างเยอะ และแทบทุกร้านก็จะมีกุ้งแช่น้ำปลา เชฟเลยเอามารังสรรค์ในแบบฉบับของร้าน โดยเอากุ้งมาสลับหัวท้ายแล้วนำมาม้วน จากนั้นเอาไปฟรีซก่อนจะเอามาสไลด์เป็นกลม ๆ สีส้ม ๆ ที่แทรกอยู่ระหว่างเนื้อกุ้งจะเป็นซอสพริกเกาหลีช่วยเพิ่มรสชาติ ตัวน้ำแช่กุ้งเป็นน้ำดาชิ โรยด้วยนอิกุระและกรานิต้าซีฟู้ด หรือซีฟู้ดในรูปแบบน้ำแข็งไส ทั้งแซ่บและสดชื่นไปพร้อมกัน

ในคอร์สจะมี Special Menu เป็นเมนูที่ไม่ไม่ได้มีอยู่ในลิสต์รายการเมนู เราได้เป็น เมนูถั่วแพ ที่เปลี่ยนจากถั่วลิสง เป็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ตัวเนยจะทำมาจากเนยปั่นกับไข่แดงเค็มเข้าด้วยกัน แล้วใส่เนื้อปลาหมึกลงไป ได้ไอเดียมาจากหมึกผัดไข่เค็ม รสมัน ๆ กินเพลิน

ไล่เรียงมาถึงเมนูจริงจังอย่าง KOISURU FORTUNE COOKIE มาลุ้นดูสิ สื่อถึงอาหารเย็น-ค่ำ ย่านสีลม ซึ่งจะมีชาวอีสานและชาวญี่ปุ่นอยู่ร่วมกัน เชฟเลยทำเมนูฟิวชันที่มีความเป็นอีสานกับญี่ปุ่น ด้วยการทำเมนูที่มีหน้าตาคล้ายซูชิ ตัวปลาด้านบนใช้เป็นปลาช่อนทะเลเนื้อแน่น เปลี่ยนจากข้าวเป็นไส้กรอกอีสาน (ที่ใช้ข้าวญี่ปุ่นทำ) รสเผ็ดนิด ๆ ด้านบนท็อปด้วยขิงที่สกัดออกมาให้เป็นดรอปคาร์เวีย ด้านล่างมีแรดิชและผักดองกินแกล้มตัดเลี่ยน

มื้อเย็นจะมีอย่างเดียวไม่ได้ มาต่อกันที่ บุญบั้งไฟเดือนหก กลับบ้านเฮามาเอาบุญเดือนหก เมนูที่พรีเซนต์ย่านสวนพู ด้วยเมนูลาบเป็ดที่ใช้เป็ดจากจังหวัดเพชรบูรณ์ มาเสิร์ฟในสไตล์ทาร์ทาร์แบบฝรั่งเศส คู่กับสาคูทอดกรอบจากพัทลุงที่มีดรอปไข่แดงเค็มและผงผักชีด้านบน รสชาติจัดจ้านถึงเครื่องดี

ในคอร์สจะคั่นกลางด้วยเครื่องดื่มร้อนแรงอย่าง WALKING TO THE MOON เครื่องดื่มที่เปรียบเสมือนแอลกอฮอล์ในปาร์ตี้ เป็นเหล้าไทย 40 ดีกรี ที่นำไปดองกับสตรอว์เบอร์รี และเพิ่มน้ำผึ้งดอกลำไยเข้าไป รสหอมหวานดื่มง่าย แต่ค่อนข้างแรง (ใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์ มีเมนู Non-alcohol ให้เลือกนะ ชื่อ Dancing on the floor)

หลังจากปาร์ตี้จบ สายตี้ไปต่อกันกับ SO WHAT WE GET DRUNK ? SO WHAT WE SMOKE WEED ? WE’RE JUST HAVING FUN เมนูที่มาจากคอนเซปต์ After Party ที่นักดื่มมักจะไปต่อกันที่ร้านข้าวต้ม ซึ่งเมนูยอดฮิตของคนเมาคือ ‘เกี่ยมบ๊วยหมูสับ’ ที่มีความเปรี้ยวสดชื่น มาในฟอร์มคล้ายกับข้าวต้มแห้ง

โดยเชฟเปลี่ยนจากหมูสับเป็นปลากุดสลาดที่นำไปเซียให้หนังกรอบ สุกแบบพอดี ตัวข้าวเป็นข้าวญี่ปุ่นที่นำไปคลุกกับผงคัตสึโอะจากปลาฉลาด เกี่ยมบ๊วย และโรยด้วยผงผักชี มีซอสมิโสะ ที่ให้รสเหมือนกับเต้าเจี้ยว เมนูนี้จะเสิร์ฟมาพร้อมน้ำซุปกระดูกปลาเก๋ากุดสลาดและปลาช่อนทะเล มีรสเกี่ยมบ๊วยนิด ๆ วิธีกินคือกินข้าวกับปลา แล้วซดซุปตามหลัง จะให้ความรู้สึกสดชื่น

จบจากข้าวต้ม ไปต่อกันที่ร้านเกาเหลา กับเมนู หนี่เวิน หว่อไอ หนี่โหย่ว ตัวเซิ้น เมนูเกาเหลา ที่หน้าตาเหมือนสเต็ก มื้อดึกสำหรับคนที่ยังกินต่อได้ ก็จะไปต่อกันที่เกาเหลา ตัวเนื้อเป็นเนื้อ A4 เทนเดอร์ลอยไทยวากิว ชั้นล่างลงมาจะเป็นลิ้นวัว และฐานเป็นหัวไชเท้าที่เอาไปตุ๋นให้อารมณ์เหมือนกับไชเท้าที่อยู่ในเกาเหลา ตัวดรอปด้านข้างจะเป็นพริกกะเหรี่ยงรสจัดจ้าน

ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานอย่าง THEY CAN IMITATE YOU. BUT THEY CAN’T DUPLICATE YOU. CAUSE YOU GOT SOMETHING SPECIAL. THAT MAKES ME WANNA TASTE YOU. เป็นเมนูของหวาน เซ็งซิมอี๊ ที่ทำมาในรูปแบบพานาคอตต้าน้ำเต้าหู้ มีเครื่องต่าง ๆ ท็อปด้วยกรานิต้าน้ำขิ งให้ฟีลเต้าทึงน้ำขิง (ใครไม่กินน้ำขิงเปลี่ยนเป็นน้ำมะตูมได้)

ต่อกันด้วย ICE CREAM, CHILLIN’, CHILLIN’ ICE CREAM ,CHILLIN’ ไอศกรีมกล้วยบวชชี ที่นำเอาน้ำกล้วยบวชชีกับเนื้อกล้วยมาผสมและเพิ่มครีมเข้าไปเป็นไอศกรีมที่หอมหวานมันกำลังดี ด้านล่างจะมีกล้วยที่อบจนได้เทกเจอร์เหมือนกล้วยตากครัมเบิ้ล ด้านบนโรยด้วยเกลือนิด ๆ เพื่อตัดความหวาน

ปิดท้ายแบบ Fine Dining ด้วย Petit Four กับเมนู BLACKPINK IN YOUR AREA ขนม 4 รสชาติ ที่แทนคาแรกเตอร์ของ 4 สาว Blackpink

ใครอยากลอง Fine Dining ในประสบการณ์ใหม่ ที่ทั้งสวย หรู แต่สนุก มาลองกันได้ เค้าเปิดเป็นรอบ ๆ วันละ 2 รอบ 17:00 น. และ 20:30 น. (ต้องจองล่วงหน้า 3 วันนะ) หรือใครที่อยากได้คอร์สที่สั้นลงมาหน่อย ก็มีแบบ 6 เมนู (1,990 บาท++) ให้เลือกด้วยนะ สอบถามเรื่องเมนูกับทางร้านได้เลย

Vikarn Bangkok
เปิดทุกวัน พุธ – อาทิตย์
สาธุประดิษฐ์ 4
จอดรถได้ที่ ศาลเจ้าแซ่ซิ้มกรุงเทพ สาธุประดิษฐ์ (มีค่าจอดนะ)
Google Maps

Articles You Might Like

Share This Article