หากเลี้ยวรถเข้าไปในโครงการ The Hub Phahol – Ari หลายคนคงจะคิดถึง Aiya เป็นอันดับแรก แต่จริง ๆ แล้วในเวิ้งนี้ยังมีอีกหนึ่งบาร์ที่ถ้าไม่สังเกตป้ายร้านดี ๆ จะไม่รู้เลยว่าเป็นที่ตั้งของ Neighborhood Bar เล็ก ๆ แต่หน้าตาดูเป็นวัยรุ่นญี่ปุ่นเจนใหม่ ที่พร้อมกวักมือชวนเราไปนั่งคุยเพลิน ๆ ในพื้นที่สุดคอมฟอร์ตของเขาอย่าง Wongar (วองกา)
ที่จริงถึงแม้ว่าเราจะพยายามมองหาป้ายร้านดี ๆ ก็อาจจะหาร้านไม่เจออยู่ดี (เพราะไม่มีป้ายร้าน!) และตัวร้านเองมีเพียงที่รองแก้วแปะไว้เป็นสัญลักษณ์บอกทางไปร้านเท่านั้น แต่เมื่อกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้น 8 เราก็พบกับออฟฟิศ… นั่นแหละ เดินมาถูกทางแล้ว อย่าเพิ่งหันหลังกลับ เพราะ Wongar จะตั้งอยู่ด้านขวาของออฟฟิศทำงานนั้นเอง เราแอบป้องปากถามทางร้านไปนิด ๆ ว่านี่บาร์ลับเหรอ กว่าจะหาร้านเจอไม่ใช่ง่าย ๆ จุดนี้ทางร้านบอกว่ากำลังจะมีป้ายบอกชัดเจนเร็ว ๆ นี้ และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่บาร์ลับ ตั้งอยู่กลางเมืองขนาดนี้จะเอาอะไรมาลับกันล่ะ!
“ชื่อร้านก็ลดทอนมาจากชื่อของเจ้ากระรอกบินตัวขาว ๆ ปุย ๆ น่ารักพันธุ์หนึ่ง ให้เหลือเพียงคำว่า Wongar ในชื่อร้าน ก็มาจากการที่ร้านตั้งอยู่ชั้น 8 เหมือนเจ้ากระรอกบินที่โฉบไปโฉบมาอยู่ข้างบนนี่แหละ”
Routeen. มีโอกาสได้พูดคุยกับ 2 ผู้บริหารร้าน Wongar อย่างคุณกอล์ฟ – กำพล พรพิสูตร และคุณจ๊าค – จารุตม์ จันทร์ประภานนท์ เลยทำให้รู้ว่า ออฟฟิศที่อยู่ข้าง ๆ ร้านก็คืองานหลักของพวกเขานั่นแหละ ทั้งคู่ (รวมถึงหุ้นส่วนร้านคนอื่น ๆ) เปิดออฟฟิศทำอาร์ตดีไซน์มาก่อน พอถึงเวลาที่ทำงานด้านนี้มาประมาณ 8-9 ปี ก็เริ่มรู้สึกว่าต้องหาอย่างอื่นมาทำให้หัวใจมันเต้นแรงขึ้นบ้าง และสิ่งหนึ่งที่พวกเขาอยากทำคืออาหาร ที่มาในรูปแบบของ Social Dining ตามที่ชอบ ประจวบเหมาะกับข้าง ๆ ออฟฟิศมีพื้นที่ว่างพอดี จึงพัฒนาพื้นที่วิวดีตรงนี้ให้เป็นร้านสไตล์ Social Dining อย่างที่พวกเขาต้องการเสียเลย
ด้วยคอนเซปต์ที่อยากให้ร้านนี้เป็น Social Dining จึงอยากให้บรรยากาศของร้านออกมาในมู้ดสบาย ๆ ไม่ต้องเกร็งเวลามานั่งกินดื่มกัน ประกอบกับไอเดียของอาหารเริ่มมาเป็นสิ่งแรก ๆ ว่าอยากทำจานอาหารให้ออกมาในแนวอิซะกะยะแบบยาไต (กับแกล้ม + เครื่องดื่ม) จึงเอาเมนูที่คิด ๆ ไว้มาแบออก แล้วให้เป็นส่วนหนึ่งขอไอเดียการตกแต่งร้านด้วย คุณกอล์ฟและคุณจ๊าคเล่าว่าทางร้านได้ Spacecraftbkk สตูดิโอของเพื่อนมาช่วยออกแบบให้ เมื่อเมนูอาหารมาเป็นแนวญี่ปุ่นฟิวชั่นหน่อย ๆ จึงตกแต่งร้านมาในอารมณ์ญี่ปุ่นนิด ๆ แต่จะไม่ใช่ฟีลคคาสสิคแบบนั้น ยังหยิบจับแมทีเรียลที่แตกต่างกัน แต่เข้ากันอย่างลงตัว อาทิ ผนังที่ฝั่งหนึ่งเป็นไม้สีน้ำตาล แต่อีกฝั่งกลับเป็นสังกะสีฟีลอินดัสเทรียล มาเจอกับเคาน์เตอร์ที่ท็อปด้วยหินอ่อนสีเขียวเข้ม กับแผงไฟขนาดใหญ่เหนือเคาน์เตอร์ที่พาดเป็นทรงตัวแอล และสามารถเปลี่ยนสีได้ตามที่ทางร้านอยากจะสร้างมู้ดในเวลานั้น ๆ ทำให้ร้านดูแปลกตา และมีความเคลื่อนไหวในหลากหลายฟีลลิ่งอยู่ตลอดเวลา
ส่วนชื่อร้านก็ลดทอนมาจากชื่อของเจ้ากระรอกบินตัวขาว ๆ ปุย ๆ น่ารักพันธุ์หนึ่ง ให้เหลือเพียงคำว่า Wongar ในชื่อร้าน ก็มาจากการที่ร้านตั้งอยู่ชั้น 8 เหมือนเจ้ากระรอกบินที่โฉบไปโฉบมาอยู่ข้างบนนี่แหละ และเจ้ากระรอกบินตัวนี้ก็กลายเป็นมาสคอตน่ารัก ๆ บนที่รองแก้วด้วยนะ
เมนูอาหารของทางร้านถูกเริ่มขึ้นจากไฮไลต์อย่าง Temaki (เทมากิ) ก่อน ซึ่งเทมากิคือซับเซ็ตของอาหารญี่ปุ่นอย่าง Sushi ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่มาในหน้าตาคล้าย Open Sandwich หลังจากนั้นก็เพิ่มความสนุกของอาหารเข้าไปมากขึ้น ด้วยการจับเอา 2 ขนมญี่ปุ่นอย่างโมจิ และเซมเบ้ มาคู่กัน พร้อมกับมีพวกจานเคียงเอาไว้แชร์กันกินอีกหลากหลายเมนู พอลูกค้าเริ่มแวะเวียนมาร้านมากขึ้น ต้องการอาหารที่อิ่มท้องมากขึ้น ทางร้านก็เริ่มมีดงบุริเข้ามาเสริมด้วยในปัจจุบัน
อีกหนึ่งความน่าสนใจนอกจากอาหารคือตัวเครื่องดื่มของทางร้าน เพราะเมื่อไวบ์ของร้านออกฟีลญี่ปุ่นสมัยใหม่ อาหารก็เป็นญี่ปุ่นฟิวชันแบบเอ็กเพอร์ริเมนต์นิด ๆ ตัวเครื่องดื่มก็ต้องหยิบเอาความเป็นญี่ปุ่นเข้ามาเป็นส่วนประกอบด้วย และ Wongar ก็เลือก “สาเก” หรือไวน์ข้าวของญี่ปุ่น ที่ใช้หัวเชื้อที่เรียกกันว่า โคจิ มาหมักสตาร์ซในข้าว โดยอยากสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการดื่ม รวมถึง Pairing สาเกกับอาหารด้วย โดยทางร้านจะเลือกสาเกแบรนด์ต่าง ๆ มานำเสนอ โดยมีแบรนด์ EMISHIKI เป็นตัวหลัก (แต่มีหลายเวอร์ชันนะ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นจะได้อะไรเข้ามา) บางตัวสามารถซื้อเป็นแก้วได้ด้วย ไม่ต้องยกขวด ก็จะเปิดโอกาสให้เราได้ลองมากขึ้น
เรามีโอกาสได้ลองอาหารหลากหลายจาน ตั้งแต่ซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง Temaki เราเลือกเป็นเซ็ตอะบุริ (740 บาท) เป็นการจัดเซ็ตเทมากิ 4 ชิ้น เวอร์ชันเบิร์นไฟสไตล์อะบุริ ประกอบด้วยอุนางิ (ปลาไหลญี่ปุ่น) โฮตาเตะ อิคุระ (หอยเชลล์ญี่ปุ่นและไข่ปลาแซลมอน) เอ็นกาวะ (ครีบปลาตาเดียว) และอิกะ เมนไทโกะ (ปลาหมึกและไข่ปลาเมนไทโกะ) ซึ่งเป็นเมนูใหม่ในหมวดเทมากิของทางร้าน ที่มีให้ลองชิมในเซ็ตนี้ด้วย ตัวเทมากิมาคำใหญ่ ๆ เบิร์นไฟมาหอมกำลังดี เราชอบที่เขาท็อปหน้ามาแบบแน่น ๆ ชิ้นใหญ่ ๆ ไม่หวงของ แต่อยากให้ลองชิมเร็ว ๆ เพราะสาหร่ายที่ห่อมาหากทิ้งไว้นานเดี๋ยวจะเหนียวแล้วไม่อร่อยนะ
อีกคำที่เราชอบของเทมากิคือ Ebi Katsu – กุ้งคัตสึทอด (160 บาท) ที่ประกอบไปด้วยกุ้งคัตสึราดซอสทงคัตสึ อโวคาโด และมอสซาเรลลาชีส คำนี้ให้รสชาติและฟีลลิงหลากหลายมิติ ทั้งความกรอบจากกุ้ง ความมันจากอโวคาโด ความนุ่มจากชีส และรสชาติที่ผสมผสานกันดี
อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของ Wongar ที่อยากให้ลองคือ WG Mochi Sembei (180 บาท) ทางร้านนำความอร่อยของโมจินุ่ม ๆ กับเซมเบ้กรอบ ๆ มารวมกัน ราดซอสแล้วโรยสาหร่ายฝอย เวลากินให้ใช้สาหร่ายแผ่นห่อแล้วเอาเข้าปากได้เลย บอกเลยว่าชิ้นเดียวไม่พอ กินเพลินมาก ๆ
เราแอบสั่งจานเคียงอย่าง Hotate Ceviche (380 บาท) คือการหยิบเอาเซบิเชของประเทศเปรูมาพัฒนาเพิ่มเติม และใส่เป็นโฮตาเตะเข้าไปแทน จานนี้ชื่นใจด้วยรสชาติเปรี้ยว ๆ สไตล์ยำ กินคู่กับโฮตาเตะสดรสหวานก็เข้ากันได้ดีทีเดียว อีกจานเป็น Corn Tempura (120 บาท) ที่เลือกใช้ข้าวโพดข้าวเหนียวและข้าวโพดหวานรวมกัน ทำให้ได้รสหวานผสมกับความเหนียวหนึบของข้าวโพดทั้ง 2 ชนิดได้ดี ยิ่งตัดมาแบบพิซซ่าแบบนี้ยิ่งหยิบกินง่ายขึ้นไปอีก สุดท้ายกับ Spicy Cucumber Beef Salad (250 บาท) แตงกวาญี่ปุ่นฝานเป็นแว่น ๆ ใส่เนื้อบริสเก็ต หรือเสือร้องไห้ผสมเข้าไปด้วย เป็นของแกล้มเครื่ิองดื่มที่ดีอยู่เหมือนกัน
สายหวานก็ยังมีของหวานให้ได้เลทอกชิม เราลอง Kyoho Grape Gelato Cheese Crisp (180 บาท) ไอศกรีมเจลาโตรสองุ่นเคียวโฮหอมหวาน ตัดกับแผ่นชีสคริสปี้เค็ม ๆ มัน ๆ ชื่นใจก่อนกลับบ้านได้ดีทีเดียว
ส่วนเครื่องดื่มก็แน่นอนว่าหลาย ๆ ตัวต้องมีเบสเป็นสาเกแน่ ๆ เราแอบลองซิกเนเจอร์ค็อกเทลของทางร้านอย่าง Pakuchii Fizz (360 บาท) ที่หยิบเอากระแสรักผักชีแบบวายป่วงของญี่ปุ่นมาทำค็อกเทลเสียเลย โดยมีเบสเป็นสาเก จิน น้ำมะนาวเพิ่มรสเปรี้ยวและโซดาเพิ่มความซ่า ดูแล้วคิดอยู่ว่าจะดื่มยากไหมนะ แต่เอาเข้าจริงดื่มง่ายและสดชื่นกว่าที่คิด ตัวค็อกเทลไม่รสเขียว ๆ เลย จิบเพลิน ๆ แป๊บเดียวหมดแก้ว
Saketini (380 บาท) เป็นอีกแก้วที่อ่านชื่อแล้วก็รู้ว่ามีเบสเป็นสาเก ผสมกับจิน น้ำส้มและน้ำมะนาว สเปรย์ชาผลไม้ลงไปให้ได้กลิ่นฟลอรัลเวลายกดื่ม ท็อปด้วยอิคุระที่เราแอบเอ๊ะอยู่ว่า ให้กินไข่ปลาแซลมอนกับค็อกเทลเหรอ แต่พอลองคู่กันแล้วก็พอคิดออกว่านี่คือการเปลี่ยนจากมาร์ตินี่ที่ใส่มะกอกมาเป็นอิคุระแทน ที่ได้ฟีลลิงการดื่มที่เหมือนแต่ก็แตกต่าง แต่แก้วนี่้แอบบอกว่าจิบเพลิน ๆ ก็มีเซเหมือนกัน กับ Tomato-Sabi (380 บาท) ที่ใช้ Haku Vodka ผสมเข้ากับน้ำมะเขือเทศ น้ำมะนาว เกลือ ให้ฟีลเหมือนดื่ม Bloody Mary ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่เปลี่ยนจากปาปริก้า หรือวูสเติอร์ซอสที่มีรสเผ็ด ให้เป็นวาซาบิแทน! ท็อปด้านบนด้วยแปะก๊วยเบิร์นไฟ ได้กลิ่นวาซาบิบาง ๆ เปิดมิติใหม่ ๆ ของเครื่องดื่มเลยล่ะ
มาทางฝั่งสปิริตกันบ้าง เราลอง Dr. Nutty (360 บาท) ที่หยิบเอาวิสกี้มาอินฟิวส์กับมิโซะ (เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น) คอมบุ เพิ่มรัมอย่าง Angostura และท็อปด้วยพีนัตคาราเมล ใครจะไปคิดว่ามิโซะมันจะเข้ามาอยู่ในแก้วนี้ได้ และเป็นไปในทางที่ดีด้วย! ใครชอบเหล้าขม แอบมีกลิ่นมิโซะเบา ๆ เป็นอีกแก้วที่สนุกมากกว่าที่คิด
และเหมือนว่า Wongar อยากให้เราสนุกมากขึ้นไปอีก เพราะในคืนวันศุกร์ ทางร้านจะมีดนตรีแจ๊สมาเล่นสด ๆ ให้เราได้จอยกัน ส่วนคืนวันเสาร์ก็มีดีเจมาเปิดแผ่นในร้านด้วยนะ เรียกว่านี่เป็น Social Dining ที่มาได้ทุกวันก็ไม่เบื่อเลยล่ะ
Wongar
เปิดทุกวัน (เว้นวันจันทร์) อังคาร – พฤหัสบดี เวลา 17:00 – 23:00 น. วันศุกร์ – อาทิตย์ เวลา 17:00 – 24:00 น.
โครงการ The Hub Phahol – Ari ชั้น 8 ถนนพหลโยธิน
BTS สะพานควาย แล้วเดินเท้าต่อประมาณ 700 เมตร มีที่จอดรถ (เสียค่าจอดนะ)