Maison Mizuki วิสกี้บาร์ แห่งใหม่ ย่านสุขุมวิท ที่มาพร้อมอาหารญี่ปุ่น และเรื่องราวของ มิซูกิ

เรารู้ข่าวมาว่า โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพฯ สุขุมวิท ได้ทำการรีโนเวทภายในทั้งห้องพัก รวมถึงล็อบบี้ และเมื่อไม่นานมานี้ ทางโรงแรมก็ได้ฤกษ์จัดงานเฉลิมฉลองการกลับมาของล็อบบี้หลังจากรีโนเวทเรียบร้อย ซึ่งในการรีโนเวทครั้งนี้ ก็ได้เผยโฉมบาร์ใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมคอนเซปต์น่าสนใจ จับเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่น เข้ากับฝรั่งเศสได้อย่างลงตัว ชื่อบาร์ว่า Maison Mizuki วิสกี้บาร์ ค็อกเทล และซูชิ

Maison Mizuki (เมซง มิซูกิ) เป็นบาร์วิสกี้ ที่ตั้งอยู่ชั้นล็อบบี้ของโรงแรม มีทั้งค็อกเทล และอาหารญี่ปุ่นรวมอยู่ในที่เดียว เดิมทีตรงนี้เป็น Front Office และร้าน  Le Macaron (ย้ายไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งแทน) และด้วยความที่โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพฯ สุขุมวิท อยู่ในเครือ Accor เครือโรงแรมเก่าแก่อันดับต้น ๆ ของโลกจากฝรั่งเศส และที่นี่ก็ยังไม่มีห้องอาหารญี่ปุ่นเลย จึงถือโอกาสผูกเรื่องราวฝรั่งเศส เข้ากับอาหารญี่ปุ่นจนเกิดบาร์นี้ขึ้นมา

จริง ๆ แล้วโรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพฯ สุขุมวิท มีบาร์อยู่แล้ว คือ Belca Rooftop มา เป็นบาร์รูฟท็อปที่เสิร์ฟอาหารที่จริงจังหน่อย แต่ Maison Mizuki ตั้งใจให้เป็นวิสกี้บาร์จริงจังเลย มี Tag line คือ วิสกี้ | ค็อกเทล | ซูชิ จะสังเกตว่าซูชิอยู่ท้ายสุด เพราะเมนหลักของบาร์คือวิสกี้นั่นเอง

ความไปสุดเรื่องวิสกี้ของที่นี่ คือมีเกิน 100 วิสกี้ลิสต์ให้เลือกดื่ม ไม่ได้มาแค่จากญี่ปุ่น แต่มาจากทั่วทุกมุมโลก และยังมีวิสกี้ไบเบิลให้อ่านด้วย (ซึ่งตอนนี้มีในเว็บไซต์แล้ว และกำลังจะตีพิมพ์เป็นหนังสือที่จับต้องได้ รวมกว่า 400 หน้า) บอกเล่าประวัติของวิสกี้แต่ละตัว สำหรับใครที่คลั่งไคล้ในวิสกี้ หรือไม่รู้จะเริ่มจากตัวไหนดี ก็ลองมาเปิดอ่านได้เลย

เรื่องราวของ มาดามมิซูกิ บาร์วิสกี้ และอาหารญี่ปุ่น

อย่างที่เล่าไปตอนแรกว่า Maison Mizuki จับเอาความเป็นญี่ปุ่น และฝรั่งเศสเข้าด้วยกัน มาจากเรื่องราวของมิซูกิ ที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นสตอรี่ของบาร์แห่งนี้ (ในโรงแรมนี้ ทุก ๆ ร้านอาหาร หรือห้องประชุมจะมีสตอรี่ บาร์นี้เลยมีสตอรี่เช่นกัน)

เป็นเรื่องราวของ ‘มิซูกิ’ หญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่ถูกเลี้ยงดูโดยคุณลุงซึ่งเป็นผู้นำเข้าและเชี่ยวชาญเรื่องวิสกี้ เธอจึงได้เห็นและได้ฟังเรื่องราวของวิสกี้ที่เขาได้ถ่ายทอดให้เธอไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสชาติ ความแตกต่าง แหล่งที่มาและกระบวนการกลั่นที่ซับซ้อนครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้ความหลงใหลของคุณลุงที่มีต่อวิสกี้ได้ถูกส่งต่อมาให้เธอโดยไม่รู้ตัว

เธอและคุณลุงได้เดินทางไปยังสกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศทั่วมุมโลก ทำให้พวกเขาได้ชิมรสชาติวิสกี้ จนกระทั่งคุณุลงได้ตกหลุมรักกับสาวฝรั่งเศสและตกลงอยู่ปารีส ทำให้ปารีสกลายเป็นบ้านหลังที่สองของเธอ หลายปีผ่านไปเธอตัดสินใจเปิดบาร์ชื่อ “Maison Mizuki” ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากคุณลุงของเธอและช่วงเวลาที่ทั้งสองได้ใช้ร่วมกัน คำว่า “Maison” มาจากคำว่า “บ้าน” ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงบ้านหลังที่สองของเธอในปารีสนั่นเอง

แม้ที่นี่จะเน้นที่วิสกี้ แต่ก็มีบาร์อาหารญี่ปุ่นแยกออกมาอย่างจริงจัง มีทั้ง ซาชิมิ นิกิริ (ข้าวปั้น) ซูชิโรล ข้างด้ง และอื่น ๆ เมนูไม่มาก ค่อนข้างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน และคัดสรรคุณภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่นำเข้ามาสด ๆ กระบวนการปรุง มืออาชีพไม่แพ้ห้องอาหารญี่ปุ่นจริงจังเลย ส่วน Portion มีทั้งแบบจริงจังกินอิ่ม หรือจะมากินเล่น ๆ กินคนเดียว ก็มีให้เลือก 

ส่วนบาร์ค็อกเทล นอกจากวิสกี้นานาชนิด ก็มีค็อกเทลให้เลือกลอง ซึ่งความน่าสนใจของค็อกเทลที่เมซงมิซูกิ คือการวางสตอรี่ของ ค็อกเทลซิกเนเจอร์ ให้เป็นเหมือน Journy ของมิซูกิ ทำให้เบสแอลกอฮอล์มีความหลากหลาย รวมถึงสอดแทรกความเป็นญี่ปุ่นไว้ในแก้วด้วย

“ค็อกเทลจะมีเบสหลากหลาย และตั้งใจให้มีความญี่ปุ่นอยู่ในซิกเนเจอร์ค็อกเทล ซึ่งจะมีสตอรี่ในทุก ๆ แก้ว มาจากเรื่องราวการเดินทางของมิซูกิ เหมือนกับมิซูกิมาบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละแก้วให้ฟัง”

Maison Mizuki วิสกี้บาร์ กับบรรยากาศที่ตอบโจทย์ทั้งนักดื่ม และนักกิน

Maison Mizuki ตั้งใจให้ที่นี่เป็นมากกว่าบาร์ที่ผู้คนจะมาดื่มและทานอาหาร ให้เปรียบเสมือนบ้านที่มีบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ มีชีวิตชีวา สังเกตว่าทางเข้าจะเหมือนกับทางเข้าบ้าน ที่เหมือนเราต้องกดกริ่งรอให้มิซูกิได้พาเราเข้าไป และเมื่อเดินเข้าไปจะพบกับภาพหญิงสาวชาวญี่ปุ่นนามว่ามิซูกิที่รอต้อนรับเราด้วยความเป็นกันเอง

สไตล์การตกแต่ง จะผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นและฝรั่งเศสตามชื่อห้องอาหารเลย เมื่อเข้ามาก็จะเห็นการตกแต่งด้วยกระจกสไตล์ยุโรปค่อนข้างเยอะ ส่วนรูปภาพที่วาดอยู่หรือลายผ้าต่าง ๆ จะมีความเป็นญี่ปุ่น แม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นถ้าเห็นก็จะมีความญี่ปุ่นโบราณ

จะเห็นว่าที่นั่งค่อนข้างเยอะ และดูจริงจังกว่าบาร์ทั่ว ๆ ไป เป็นเพราะว่าพื้นฐานแขกผู้เข้าพักโรงแรม ส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์ครอบครัวและคนที่มาเพื่อ Business เพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนั้น จะเห็นว่ามีที่นั่งหลากหลาย ตั้งแต่หน้าบาร์ ไปจนถึง Section ที่มีความ Private หน่อย 

“ที่นี่ค่อนข้างตอบโจทย์ทุกคน ถ้าชอบอาหารอยากดูเชฟก็นั่งตรงที่เคาน์เตอร์ สายดื่มอยากพูดคุยกับมิกโซโลจิสต์ก็นั่งที่หน้าบาร์ หรือใครอยากสูบซิก้าหรือบุหรี่ก็มีโซน Outdoor”

เมนูที่ต้องลองที่ Maison Mizuki

สำหรับเมนูอาหารญี่ปุ่น ที่นี่จะเน้นเมนูที่เป็นคำ ๆ กินง่าย ๆ และชูวัตถุดิบได้ดี ซึ่งเค้านำเข้าวัตถุดิบจากญี่ปุ่นเลย เราได้ลอง Premium Sashimi Moriawase 7 ชนิด (2,450 บาท) เซตรวมปลาดิบแบบพรีเมี่ยม ที่เชฟค่อย ๆ บรรจงแร่ทีละชิ้น มีทั้งโอโทโร่ ชูโทโร่ อะกามิ โฮตาเตะ ทาโกะ และฮามาจิ มาแบบชิ้นหนาเต็มคำ สดหวานดีมาก ๆ 

ถัดมาเป็น Maison Mizuki Set (1,890 บาท) เซทรวมนิกิริและโรล ที่มาแบบจานใหญ่จุก ๆ มีทั้ง Salmon Lava Roll (4 คำ), Unagi Roll (6 คำ), Avocado & Cream Cheese Roll (6 คำ), Engawa Nigiri (2 คำ), Chutoro Nigiri (2 คำ) และเซต Sashimi ที่รวมปลา 3 ชนิด เซตเดียวครบ ใครมาเป็นแก๊งเซตนี้ตอบโจทย์สุด ๆ

คนรักปลาส้มอย่างเราขอเพิ่มโรลอีกเมนู เป็น Crispy Salmon Roll (350 บาท) โรลแซลมอนสูตรพิเศษเสิร์ฟพร้อมซอสยูซุ และข้าวพองเพิ่มความกรุบกรอบ คำใหญ่ แน่น ๆ กินเพลินมาก

ตัดเลี่ยนด้วย Usuzukuri (650 บาท) เมนูที่ไม่อยากให้พลาด เป็นปลามาได หรือปลากะพงแดงญี่ปุ่นแล่บาง เสิร์ฟพร้อมต้นหอมซอย และซอสพอนสึ ตัวปลาสดหวาน ชิ้นหนากำลังพอดีเคี้ยว ตัวซอสพอนสึให้ความสดชื่นมาก ๆ

ด้านค็อกเทล มีซิกเนเจอร์ถึง 6 ตัว ครีเอตมาจากเรื่องราวของมิซูกิ ซึ่งทั้ง 6 บาร์เทนเดอร์บอกเราว่า เนื่องจากบาร์มีวิสกี้ให้ลองเยอะมาก ๆ แล้ว ฝั่งค็อกเทลเลยจะเน้นเป็น Sweet & Sour ที่ดื่มง่าย แต่ยังมีมิติรสที่น่าสนใจ

เริ่มกันที่ MIZUKI SOUR (520 บาท) แก้วนี้เหมือนจุดเริ่มต้นในการก้าวข้ามความคิดที่ว่า วิสกี้ มีดีแบบไม่ต้องผสมผสาน ด้วยการจับเอาชินจูวิสกี้ ไปผสมกับ น้ำเลมอนน้ำเชื่อมยูซุ แองกอสตูร่า บิตเทอร์ จนออกมาเป็นค็อกเทลที่มีรสชาติลงตัว 

ถัดมาเป็น ROUGE ET SALÉ (500 บาท) ค็อกเทลหน้าตาเก๋ที่มีเบคอนวางพาดอยู่ ได้รับแรงบันดาลใจมากจากความรักของคุณลุงที่มีต่อเบคอน มิซูกิจึงได้เนรมิตเครื่องดื่มที่ผสมไวน์แดง คิโนบิ ราสเบอร์รี่บด น้ำมะนาว และเบคอนกรอบ เต็มไปด้วยรสชาติและกลิ่นของควันที่อบอวล ความขมและความหวานที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

ต่อมา MURAZAKI BLISS (500 บาท) ค็อกเทลสุดพิเศษที่รวมรวบการผจญภัยทั่วโลกของมิซูกิ ซึ่งผสมผสานส่วนผสมอันเป็นเอกลักษณ์ผนวกเข้ากับประสบการณ์แต่ละช่วงเวลาที่ยากจะลืมเลือน ด้วยเหล้าบ๊วย น้ำผึ้ง น้ำโทนิค และเลม่อนบิตเตอร์ พร้อมสีสวย ๆ จากจินที่นำไปอินฟิวส์กับดอกอัญชัน

แก้วต่อมา SAYURI (480 บาท) มาจากตอนที่มิซูกิได้แวะเวียนมาที่ประเทศไทย และได้ลิ้มรสของน้ำมะพร้าวเป็นครั้งแรก แก้วนี้เลยผสมสาเก “Sayuri Nigori” เข้ากับรสชาติของมะพร้าวที่หอม สดชื่น ซึ่งเครื่องดื่มแก้วนี้ได้ผสมผสานเอกลักษณ์ของทั้งสองประเทศเอาไว้อย่างลงตัว

แก้วที่ 5 เป็น MISO NORI (480 บาท) ฟังชื่อแล้วก็ญี่ปุ่นสุด ๆ เป็นแก้วที่ใส่จิตวิญญาณความเป็นญี่ปุ่นลงไป ด้วยการผสมผสาน 3 วัตถุดิบอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ทั้งเหล้าบ๊วย มิโซะ และผงชิโซะโนริ เป็นรสชาติที่แปลกใหม่และน่าจดจำ 


ปิดท้ายด้วย ESPRESSO SAKE-TINI (550 บาท) เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของชาวฝรั่งเศส และเครื่องดื่มอันขึ้นชื่อของญี่ปุ่นอย่างสาเกเข้าไว้ด้วยกัน ในทุก ๆ จิบจะได้ลิ้มรสความเข้มข้นของกาแฟและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสาเกญี่ปุ่น แก้วนี้มีความเข้มและหวานในตัว จึงเหมาะกับการปิดท้ายสุด ๆ

Maison Mizuki วิสกี้บารค็อกเทล และซูชิ
เปิดทุกวัน 17:00 – 01:00 น. (Last order อาหาร 22:30 น./ Last order เครื่องดื่ม 00:00 น.)
ชั้นล็อบบี้ โซฟิเทล กรุงเทพ สุขุมวิท
BTS นานา | มีที่จอดรถ
Google Maps

Articles You Might Like

Share This Article