ก็ต้องยอมรับตรงนี้ว่า ตอนนี้เราเริ่มตามหา บาร์ ใหม่ ๆ ที่มีความโดดเด่นและพิเศษเฉพาะตัวได้แทบจะทั่วกรุงเทพฯ แล้ว เพราะความหนาแน่นของย่านกลางคืนทั้ง ทองหล่อ-เอกมัย หรือสาทร-สีลม และเจริญกรุง-บางรัก ทำให้พื้นที่ความสนุกถูกขยับขยายออกไป เช่นเดียวกับย่านปรีดี พนมยงค์ ที่ถัดมาจากเอกมัยเพียงนิดเดียว ก็มีบาร์เด็ด ๆ ซุกซ่อนให้เราได้ลองอีกเยอะ รวมถึง บาร์ ใหม่ป้ายแดง ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอย่าง อมฤต •อะ•มะ•ริด• Amaris cocktail bar ก็เช่นกัน
อมฤต •อะ•มะ•ริด• Amaris cocktail bar ตั้งอยู่ในชั้น 2 ของบ้านทรงคลาสสิกในซอยปรีดี พนมยงค์ 31 เลี้ยวเข้ามานิดเดียวก็ถึง พยายามมองหาร้านที่ชื่อ Raleuk Taste Of Memories เอาไว้ เพราะบาร์จะตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของร้านนี้นี่แหละ (ส่วนร้านนี้ก็ใกล้จะเปิดเต็มที่แล้วเหมือนกัน รออีกเดี๋ยว Routeen. จะพาไปทำความรู้จักเช่นเคยนะ)
ตัวร้านขนาดไม่ใหญ่มาก กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นบน เชื้อชวนให้เราหย่อนตัวลงนั่งด้วยขวดเครื่องดื่มจากแบรนด์ต่าง ๆ ในเอเชียที่มีทั้งคุ้นและไม่คุ้นตา และเชื่อว่าที่นี่จะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
เมื่อเราได้รู้เรื่องราวของ อมฤต •อะ•มะ•ริด• Amaris cocktail bar จาก คุณปอม – รุ่งอนันต์ ชววิวัฒนชัย เจ้าของร้านแห่งนี้ และตัวคุณปอมเองก็อยู่ในแวดวงเครื่องดื่มนี้มาอย่างโชกโชนไม่แพ้ใคร เพราะนอกจากจะเป็นผู้นำเข้าคราฟต์เบียร์เจ้าแรก ๆ ของประเทศไทยอย่างยาวนานกว่า 13 ปีแล้ว (แบรนด์ Hitachino Nest
จากประเทศญี่ปุ่น และสปิริตจากประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย) รวมถึงยังเคยมีค็อกเทลบาร์เป็นของตัวเองเมื่อ 8-9 ปีก่อน ในชื่อ 8owls ซึ่งเป็นช่วงที่ซีนของบาร์ค็อกเทลในบ้านเรายังไม่หลากหลายเหมือนทุกวันนี้ แถมยังเป็นเจ้าของร้านคราฟต์เบียร์ Bottle Rocket ในย่านสนามเป้า (ที่กำลังจะย้ายไปสีลมเร็ว ๆ นี้) อีกด้วย
“พอได้ลงมือกลั่นด้วยตัวเอง และยังแวะเวียนไปนั่งบาร์ต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ ทำให้คุณปอมเห็นว่าหลาย ๆ บาร์ในบ้านเราแทบไม่มีเหล้าไทยเลย หรือหากมีก็มีเพียงแบรนด์ใหญ่ ๆ เท่านั้น จนเกิดความสงสัยว่าทำไมบ้านเราถึงไม่มีเหล้าให้ค็อกเทลบาร์ในบ้านเราใช้บ้าง”
แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คุณปอมหันมาสนใจค็อกเทลอย่างจริงจัง เพราะเกิดจากเบียร์ที่ค้างสต็อกเยอะ จึงเกิดไอเดียที่จะเปิดโรงกลั่น นำเบียร์ที่อยู่ในสต็อกและขายไม่ออกเหล่านั้นไปกลั่นเป็นแอลกอฮอล์ จนได้พาร์ตเนอร์ที่จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเป็นโรงกลั่นสุราชุมชนที่นั่น ออกมาเป็น “ซอดแจ้ง” สุราไทยที่ใช้อ้อยในพื้นที่ (รวมถึงอ้อยจากสวนของคุณปอมเองที่จังหวัดขอนแก่นด้วย) และเป็นที่รู้จักของใครหลายคนในปัจจุบันนี้
เกร็ดเล็ก ๆ ของซอดแจ้ง : ชื่อซอดแจ้ง ได้มาจากสถานที่ที่อาทิตย์ขึ้นเป็นที่แรกของจังหวัดอุบลราชธานี (และประเทศไทย) คือผาชนะได จึงหยิบคำว่า ‘ยันหว่าง’ ในภาษาอีสานมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์เสียเลย |
ในขณะเดียวกัน พอได้ลงมือกลั่นด้วยตัวเอง และยังแวะเวียนไปนั่งบาร์ต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ ทำให้คุณปอมเห็นว่าหลาย ๆ บาร์ในบ้านเราแทบไม่มีเหล้าไทยเลย หรือหากมีก็มีเพียงแบรนด์ใหญ่ ๆ เท่านั้น จนเกิดความสงสัยว่าทำไมบ้านเราถึงไม่มีเหล้าให้ค็อกเทลบาร์ในบ้านเราใช้บ้าง เหมือนครั้งที่เราไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วเดินเข้าบาร์ในบ้านเขา ก็จะเจอแบรนด์โลคอลของเขาเองให้ได้ลองเหมือนกัน
คุณปอมเลยตั้งใจพา ซอดแจ้ง ไปให้หลายบาร์ในบ้านเรารู้จัก แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะได้รับการตอบรับอยู่ จนเมื่อเกิดกระแสผลักดัน “สุราเสรี” ขึ้น ชื่อของซอดแจ้ง รวมถึง “จ๊วด” โซจูไทยของคุณปอม ก็เป็นที่รู้จักและเลื่องลือไปทั่วสารทิศจนถึงทุกวันนี้
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาระยะใหญ่ ๆ ทั้งเรื่องของการทำบาร์ และเรื่องของสุรา รวมถึงการได้พบเจอและพูดคุยกับ คุณเต่า – นิธิกร ธนทวีคูณ (ที่ปัจจุบันเป็นบาร์เทนเดอร์ของ อมฤต •อะ•มะ•ริด• Amaris cocktail bar ด้วย) จึงเห็นว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะกลับมาทำ บาร์ เล็ก ๆ เป็นของตัวเองอีกครั้ง โชคดีที่ตอนนั้นคุณปอมได้มาดูพื้นที่ทำร้าน Raleuk Taste Of Memories ที่ชั้นล่างพอดี และรู้ว่าชั้นบนยังว่าง เมื่อเห็นว่าโลเคชั่นดี ใกล้ทองหล่อ – เอกมัย จึงตั้งใจปักหลักที่นี่เลย
เกร็ดเล็ก ๆ ของซอดแจ้ง : ปัจจุบันซอดแจ้งมีทั้งหมด 4 ตัว ตัวล่าสุดจะเป็น Gin ดอกไม้ป่า มาจากมุ่งดอกไม้ที่ชื่อ ดงนาทาม ในย่านสามพันโบก โดยดอกไม้ป่าจะขึ้นเพียง 4 เดือนต่อปีเท่านั้น จึงหยิบเอาคอนเซปต์นี้มาใส่ขวดเสียเลย ขวดนี้จะมีความฟลอรัลมากขึ้น |
งานออกแบบของร้านยึดกับความเข้ากันของตัวบ้าน กับคอนเซปต์ของชื่อร้านเป็นปัจจัยด้วย โดยบ้านจะเป็นทรงคลาสสิกในช่วงยุค 60 – 70’s แนว Modern – Mid Century ที่ดูสวยงามเหนือกาลเวลา เลยหยิบเอาสิ่งนี้มาตั้งเป็นชื่อร้านอย่าง “อมฤต” ที่หมายถึงน้ำที่ให้ความเป็นอมตะ ด้วยนั่นเอง และหยิบความเก่าแต่ไม่โบราณ มาเป็นงานตกแต่ง ใช้สไตล์แบบโรงภาพยนตร์เก่า ฟีลโอลด์สกูลนิด ๆ และหยิบเอา Materials หลากหลายมาประกอบร่าง
เดิมที่คุณปอมอยากสร้างค็อกเทลที่มีเบสเป็นเหล้าไทยทั้งหมด แต่ตัวเลือกที่บ้านเรามีนั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำเครื่องดื่มให้มีความหลากหลาย จึงขยายขอบเขตออกไปเป็น Oriental Asian Culture Bar ที่ทุกอย่างในเมนูจะใส่ความเป็นเอเชียเข้าไปทั้งหมด โดยเบสสปิริตทั้งหมดจะมาจากในเอเชียล้วน ๆ (แน่นอนว่าได้เจอซอดแจ้งด้วยนะ)
ในเฟสแรกที่ทางบาร์เปิดจะมาพร้อมกับ Signature Menu ทั้งสิ้น 13 แก้ว จาก 5 ประเทศทั่วเอเชีย ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และเวียดนาม โดยจับเอาชื่อเมืองของแต่ละประเทศมาเป็นไอเดีย และหยิบเอาวัตถุดิบต่าง ๆ ที่เข้ากันมาเป็นส่วนผสม และวัตถุดิบเหล่านั้นจะต้องมีสรรพคุณที่น่าสนใจ เป็นส่วนประกอบของ “น้ำอมฤต” แก้วนั้นได้ด้วย เป็นการหยิบเอา Local Culture มาเจอกับ Flavour Culture ได้อย่างลงตัว
เราจัดมาลองทีเดียว 6 ตัวกันไปเลย เริ่มที่ บางนางรม (420 บาท) เบส Gin ซอดแจ้งของไทย ที่นำไป Infuse กับหญ้าหนวดแมว ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของเขตบางนางรม ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ปลูกหญ้าหนวดแมวนี้มาก เติมด้วยน้ำส้มวาเลนเซียและมะม่วง พร้อมกับรากบัว ใบเตย ดอกมะลิ และแก่นฟาง แก้วนี้ออกแนวรีเฟรชชิงดื่มง่าย ยกดื่มแล้วกลิ่นมะม่สงและซิตรัสชัดดีมาก ๆ
ย้ายไปยังประเทศญี่ปุ่นกับ Aomori (440 บาท) เบส SUI Gin ที่นำไป Infuse กับ Rose Hip เติมด้วยน้ำแอปเปิล มะนาวนิดหน่อย จากนั้นนำไปสโมกกับไม้แอปเปิล (แอปเปิลเป็นของดีของจังหวัดอาโอโมริ) เสิร์ฟมาพร้อมกับสแน็กญี่ปุ่นไว้แกล้ม แก้วนี้จะออกเป็น Spirit Forward หน่อย ๆ แต่ดื่มง่ายขึ้น
ขยับไปที่ประเทศจีนกับ Fujian (440 บาท) นำเหล้าจีน Wuliangye ไป Infuse กับชาอูหลง เติมไซรัปมะลิ ไซรัปดอกหอมหมื่นลี้ และอุเมะชูให้ไปดรอปกลิ่นเหล้าจีนลงบ้าง เสิร์ฟมาในเซ็ตชาที่มีดรายไอซ์ให้ควันชวนยกกล้องขึ้นมาถ่าย พร้อมถั่วลิสงคั่วจากเมืองชานตง ส่วนตัวเราชอบแก้ววนี้มาก มีความฝาดของชาที่ได้มิติใหม่ ๆ และกลิ่นฟลอรัลต่าง ๆ ก็ช่วยสราง Scent ได้ดี
ต่อกันที่ Hong Kong (420 บาท) ยังคงใช้ Wuliangye ไป Infuse กับชาสมุนไพรที่ช่วยดรอปกลิ่นเหล้าจีนลงได้ เสริม Liquor เป็นชาลิ้นจี่ และ Elderflower เพิ่มความหอมสดชื่น เติมรังนกแท้ ๆ ลงไป ให้สมกับความเป็นเมืองแห่งตลาดรังนกของโลก
ออกเดินทางสู่เกาหลีใต้ กับ Jeollabuk-do (400 บาท) จังหวัดหนึ่งในเกาหลีที่มีเทศกาลโคจูจังที่นั่น เบส Sour ที่ใช้โซจูกับวอดกา และเอาโคจูจังมาแมตช์กับโยเกิร์ตและแอปเปิล กินคู่กับไชเท้าดองน้ำผึ้ง แก้วนี้ได้รสชาติแปลกใหม่ เค็มเผ็ดนิด ๆ
สุดท้ายกับ Hue Hue (420 บาท) ชื่อจังหวัดทางภาคกลางของประเทศเวียดนาม และเป็นเมืองที่ผลิตหมวกสาน “หนอนลา” ขนาดใหญ่ แก้วนี้มาในสไตล์ Tiki ใช้วอดกาเวียดนามที่เป็นตะไคร้ที่ชื่อ KAI ใส่ไซรัปเกรปฟรุต ไวลด์เบอร์รี่ กับน้ำเชอร์รี่และทับทิมที่ให้ความสดชื่นที่ดื่มง่าย มีความฟรุตตี้และชื่นใจดีมาก ๆ
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบาร์ใหม่ที่น่าจับตา และครีเอตแต่ละแก้วได้อย่างสร้างสรรค์ โดยทางบาร์จะเปลี่ยนซิกเนเจอร์ไปทุก ๆ 4 เดือนด้วยนะ มครอยากออกไปท่องโลกผ่านแก้วเครื่องดื่มที่สนุกและมีสตอรี ลองแวะที่ อมฤต •อะ•มะ•ริด• Amaris cocktail bar ดู อาจจะได้ประสบการณ์อะไรใหม่ ๆ กลับไปก็ได้นะ
อมฤต •อะ•มะ•ริด• Amaris cocktail bar
เปิดทุกวัน เวลา 17:00 – 01:00 น.
ซอยปรีดี พนมยงค์ 31 พระโขนง
BTS พระโขนง แล้วต่อพี่วิน | มีที่จอดรถ
