พักหลังมานี้เราเจอคาเฟ่ฝั่งธนฯ เปิดใหม่หลายร้าน ล่าสุดเราได้แวะเวียนไปย่านเพชรเกษม 55 แล้วได้พบกับคาเฟ่ไวบ์ดี ที่ให้ฟีลโฮมมี่หน่อย ๆ ชื่อว่าร้าน Third House Cafe เป็นคาเฟ่ของกลุ่มเพื่อนพี่น้อง ที่จับมือกันรีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นคาเฟ่แบบที่ตั้งใจ
Third House Cafe เป็นคาเฟ่น้องใหม่แบบสุด ๆ เพราะเพิ่งเปิดเมื่อ 2 กันยายนที่ผ่านมานี้เอง ตอนที่เราแวะไปยังเป็น Soft-opening อยู่เลย และเราได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ บอส – สรดิษ รุ่งฟ้าร้อง และคุณ เปตอง – สกนธ์รัฐ ผลรัตน์ หุ้นส่วน 2 ใน 3 ของร้านนี้ถึงการตัดสินใจเปิดคาเฟ่แห่งนี้ด้วย
ทั้งคู่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตั้งแต่สมัยมัธยม ที่จับพลัดจับผลูได้มาเปิดร้านกาแฟด้วยกัน คุณบอสเล่าให้เราฟังว่า การเปิดคาเฟ่เป็นเรื่องที่พูดกันเล่น ๆ แต่เกิดขึ้นจริง เริ่มจากคุณเปตอง ที่เป็นพนักงานออฟฟิศ มีแพลนจะลงทุนเกี่ยวกับอสังหาฯ ประมาณว่าซื้อบ้านมารีโนเวทแล้วขายต่อ กำลังหาที่เหมาะ ๆ ซึ่งคุณบอสเองมีบ้านอยู่ซอยถัดไปนี่เอง ก็เลยเห็นว่าบ้านหลังนี้ติดประกาศขายอยู่
“จริง ๆ ตอนแรกพี่เปตองเขาหาที่อยู่ ส่วนผมมีแพลนว่าอยากจะไปทำงานที่ออสเตรเลีย กำลังทำเรื่องแล้วแหละ พอเห็นพี่เปตองหาที่ก็เลยบอกว่าเห็นมีบ้านตรงนี้ว่างอยู่นะ แล้วก็แค่พูดกันเล่น ๆ ว่าถ้าพี่มาเปิดร้านตรงนี้ ผมก็เอาด้วย”
คุณเปตองเล่าว่าที่ตัดสินใจเปิดเป็นคาเฟ่แทน เพราะชอบกาแฟอยู่แล้ว คาเฟ่ก็เป็นสิ่งที่อยากทำ แล้วพอดีเห็นบอสมีฝีมืออยู่แล้ว เคยทำงานโรงแรม แล้วก็ทำขนมอยู่ที่อเมริกาด้วย และยังมีรุ่นพี่ที่ทำร้านกาแฟจริงจังอยู่ด้วย เลยมีความคิดว่าทำไมเราไม่มาทำกันเองเลยล่ะ ก็เลยเกิดเป็น Third House Cafe ขึ้นมา
เดิมทีตรงนี้เป็นบ้านพักอาศัยตามปกติ แต่โครงสร้างเดิมของบ้านค่อนข้างเก่า และโทรมมาก เลยต้องรีโนเวทกันยกใหญ่ ทั้งทุบพื้นที่ กั้นห้องอบขนม และจะเห็นว่าชั้นล่างนี้เพดานค่อนข้างต่ำกว่าปกติ เป็นเพราะเจ้าของเดิมถมพื้นให้สูงขึ้นกันน้ำท่วม
การรีโนเวทก็ได้รุ่นน้องที่รู้จักมาเป็น Interior ให้ โดยตั้ง Mood and Tone ไปว่าไม่อยากได้ร้านที่ดูเป็นสเปเชียลตี้จ๋า ๆ อยากให้มีความโฮมมี่ ดูอบอุ่น เหมือนมาบ้านเพื่อนแล้วมีเพื่อนชงกาแฟให้กิน วัสดุในร้านเลยมีทั้งไม้ (เป็นของเดิมที่มีอยู่แล้ว) อิฐโทนสีส้ม และหินอ่อน ดูอบอุ่น ๆ อย่างที่บอกว่าเพดานค่อนข้างต่ำ โต๊ะเก้าอี้ ที่นั่งต่าง ๆ เลยดูเตี้ยกว่าปกติ เพื่อให้เวลานั่งแล้วรู้สึกโปร่ง สบาย ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นไอเดียของ Interior ที่ออกแบบให้ทั้งหมด
“เราอยากได้ฟีลร้านเหมือนร้านใต้ถุนบ้าน เพราะว่าตรงนี้ก็เป็นใต้ถุนของบ้านเก่าจริง ๆ”
ตัวร้านมี 3 ชั้น โดยชั้น 1 จะเป็นบาร์กาแฟ ตู้ขนม และห้องอบขนมที่ทำเป็นกระจกใส มองเห็นตอนอบขนมกันแบบสด ๆ ส่วนที่นั่งมีทั้งโต๊ะเดี่ยวและโต๊ะ Sharing ซึ่งจัดสรรพื้นที่ได้ค่อนข้างดี รองรับลูกค้าได้เยอะเลย
ส่วนชั้น 2 เป็นพื้นที่โล่ง ๆ โต๊ะไม่มากนัก สามารถใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้ในอนาคต อย่างเวิร์กชอป หรือถ่ายสินค้า และมีระเบียงให้ออกไปยืนชิล เก๊กท่าถ่ายรูปได้ ส่วนชั้น 3 เป็นพื้นที่อยู่อาศัยนะ ไม่ได้เปิดให้ขึ้นไป
การเกิดขึ้นของร้าน Third House เป็นเหมือนการรวบรวมเพื่อนพี่น้องได้มาทำงานร่วมกัน อย่างเบเกอรีก็มีคุณบอส ดีไซน์ร้านก็เป็นรุ่นน้องมาช่วยกัน เรื่องกาแฟก็มีรุ่นพี่คอยซัพพอร์ต หรือแม้กระทั่งโลโก้ร้าน ก็เป็นลายเส้นไอเดียของน้อง ๆ ที่รู้จักกัน ร้านนี้เลยเป็นเหมือนจุดรวมเพื่อน ๆ แล้วก็อยากให้ทุกมาได้มาหาประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะมานั่งทำงาน หรือใช้พื้นที่ทำโปรเจกต์ต่าง ๆ
ที่มาของชื่อ Third House เลยเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 3 เป็นเซฟโซนของทุกคน และเลข 3 ก็มาจากเลขที่ของบ้านหลังนี้ด้วย
Third House Cafe ไม่ถึงกับเป็นสเปเชียลตี้ด้านกาแฟขนาดนั้น แต่ก็ให้ความสำคัญกับกาแฟจริงจังพอสมควร ทั้งเคยไปเรียนคอร์ส SCA (Specialty Coffee Association), Coffee Sensory พอชิมได้ว่ารสชาติกาแฟเป็นประมาณไหน และก็มีรุ่นพี่ที่เปิดร้านกาแฟ และมีโรงคั่วที่รู้จัก ทำให้มีกาแฟดี ๆ วางอยู่ในร้านเพียบ ซึ่งมี House Blend ถึง 2 ตัว เป็นกลาง-เข้ม และกลาง-อ่อน และมีเมล็ดพิเศษให้เลือกอีกถึง 11 ตัว
“เราก็ชอบกินกาแฟอยู่แล้ว อยากให้คนได้กินกาแฟดี ๆ เพราะคือเรารู้อยู่แล้วว่ากาแฟของพี่เขาดีมาก เป็นรสชาติที่เราไปชิมมาแล้วเราชอบ ก็อยากให้คนอื่นได้ลองเหมือนกัน”
เมนูต้องลอง ที่ Third House Cafe
เราได้ลอง Espresso Con Panna เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านเลย เป็นกาแฟวิปครีมที่ใช้ช็อตกาแฟคั่วเข้มไปผสมนมข้นนิด ๆ โปะด้วยวิปครีมแล้วท็อปด้วยซอสคาราเมลอีกที กินรวม ๆ แล้วไม่ได้หวานมากอย่างที่คิด กำลังอร่อย
ส่วนเมนู non-coffee เราลอง Plum x Yuzu (95 บาท) เป็นไซรัปพลัมยูซุโซดาที่มีความเปรี้ยวหวานสดชื่น ท็อปด้วยบ๊วยเค็มเม็ดโต ที่พอเอาเม็ดบ๊วยแช่ลงไปในน้ำก็จะได้อีกรสชาติหนึ่ง ฟีลเหมือนกินลูกอมบ๊วยตอนเด็ก ๆ ชอบมาก
ส่วนเมนูเบเกอรี่ อย่างที่บอกว่าวันที่เราแวะไปยังเป็น Soft-opening เมนูขนมเลยยังไม่นิ่งเท่าไหร่ ที่มีแน่ ๆ คือ ซอฟต์คุ้กกี้ (65 บาท) เป็นรส ดาร์กช็อกโกแลตมาร์ชเมลโล่ ที่ตัวมาร์ชเมลโล่จะมีความยืดแบบฉ่ำ ๆ, ไวท์ช็อกแครนเบอร์รี่ ที่มีเนื้อแครนเบอร์รี่แทรกอยู่ในคุ้กกี้ กัดแล้วจะได้รสเปรี้ยวนิด ๆ ตัดเลี่ยนได้ดี และ คลาสสิคช็อกชิพ ที่ให้เม็ดช็อกโกแลตมาใหญ่มาก ออกโทนหวานนิดเปรี้ยวปลาย ๆ ไม่เลี่ยน
ส่วนขนมเค้กทางร้านแพลนไว้แน่ ๆ ว่าจะมีไลน์ขนมเค้ก 4-5 ตัวมาวางที่ร้าน ซึ่งเครื่องอบหรือสูตรต่าง ๆ ก็ค่อนข้างพร้อมแล้ว ซึ่งคุณบอสก็จะรับหน้าที่ดูแลในพาร์ทนี้เองเลย
เราได้ลอง ทีรามิสุ เป็นสูตรพิเศษจากอิตาลี ที่เปลี่ยนจากเลดี้ฟิงเกอร์เป็นสปันจ์เค้กนุ่ม ๆ แทน และตัวครีมทีรามิสุก็ใช้ช็อตกาแฟ Houseblend ของที่ร้านด้วย
อีกเมนูเป็น ช็อทเค้กสตอเบอร์รี่ ใช้สตอเบอร์รี่สดกับวิปมาสคาร์โปน (จะมีกลิ่นหอมกว่าครีมทั่วไป และครีมมี่กว่าวิปครีมปกติ) สูตรแป้งได้มาจากญี่ปุ่น จะมีความนุ่ม Juicy นิด ๆ ไม่ได้เป็นแป้งเนื้อเบาแบบเนื้อเค้กปกติ และเป็นสูตรหวานน้อยกินเพลิน ๆ
จุดเด่นของเค้กและเบเกอรีที่นี่ อยากให้เป็นเค้กที่มีรสชาติดูโฮมมี่ ๆ กินง่าย หน้าตาอาจจะไม่ได้หวือหวา แบบเค้กตามโรงแรม ให้ดูเข้าถึงง่าย ในราคาที่จับต้องได้ (วันที่เราไปลองเค้กเพิ่งทำเสร็จหมาด ๆ แบบที่ยังไม่ทันได้ตั้งราคาเลย ลองสอบถามทางร้านอีกทีนะ)
Third House Cafe
เปิดทุกวัน 07:00 – 17:00 น.
เพชรเกษม 55
MRT หลักสอง แล้วต่อพี่วิน | จอดรถได้ที่ริมกำแพงในซอย
Google Maps
