สยามยังคงเป็นแหล่งรวมความเทรนด์ดี้ ทั้งผู้คน แฟชั่น อาหาร รวมถึงเมนูขนม ที่ให้เราได้กินจุ๊บจิ๊บกันอยู่ตลอด ล่าสุดเราได้เจอกับร้านไอศกรีมเจลาโตแห่งใหม่ที่มีคอนเซปต์ไม่ธรรมดา เห็นแล้วต้องแวะไปเกาะตู้ ขอดูหน่อยว่าที่นี่มีอะไรเด็ด และเราก็ได้พบกับถั่วพิสตาชิโอบดกองพูน ที่ทางร้านเอาไว้เคลือบไอศกรีมแบบแน่น ๆ บอกเลยว่าใครที่ชอบพิสตาชิโอ จะต้องมาให้ได้ ที่ ร้าน Blendies ไอศกรีมเจลาโต คลุกพิตาชิโอ ที่สยามสแควร์วัน
Blendies เป็นร้านไอศกรีมแบบ Grab & Go ที่อยู่ตรงประตูสยามสแควร์วัน Gate 6 แบบพอดิบพอดี เดินเข้ามาก็จะเจอกับร้านสีแดง ที่ด้านหน้าตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกเรียงเป็นรูปคนถือไอศกรีมชนกัน ร้านนี้เป็นร้านของคุณ แบม – ธนโชติ ดลชลัยย์กร เชฟมากฝีมือที่อยู่ในวงการอาหารเข้าปีที่ 12 แล้ว (มีหุ้นส่วนอีกท่านคือคุณสรัญญา สินลอย)
ย้อนกลับไปก่อนจะเกิดร้าน Blendies ไอศกรีมเจลาโต แห่งนี้ คุณแบมบอกเราว่า ที่ผ่านมาก็เป็นเชฟมาโดยตลอด เคยเปิดร้านอาหารแนว Chef Table และ Casual Fine Dining ชื่อ Rare BKK เมื่อกลางปี 2020 ผลตอบรับค่อนข้างไปได้ดี แต่โชคไม่ดีที่อยู่ ๆ ก็เกิดสถานการณ์โควิด ซึ่งมีความรุนแรงจนเกิดการล็อกดาวน์ ห้ามทานอาหารในร้าน ซึ่งจุดพลิกผันคือสไตล์การนำเสนอแบบเชฟเทเบิ้ลไม่ค่อยเหมาะกับเดลิเวอรี ไม่ตอบโจทย์ทั้งเราและลูกค้า ประคองมาได้สักระยะ สถานการณ์ยังไม่มีวี่วแวจะดีขึ้นเลยต้องพักโปรเจกต์ไป
พอไม่ได้ทำร้านแล้ว ก็เลยถือโอกาสบินไปเรียนต่อที่ปารีส ฝรั่งเศส เป็นโปรแกรม Expert Cuisine ที่คัดเอา Executive chef ที่มีประสบการณ์มากกว่า 6 ปี มาเก็บตัวอยู่ด้วยกัน ทำอาหารวัดระดับกัน เป็นโปรแกรมที่เข้มข้นเลย เลยได้มีโอกาสทำงานที่ร้าน Benoit – Paris ร้านที่ได้มิชลินสตาร์ 1 ดาว อีกทั้งยังเป็นอาจารย์สอน Essential Cuisine Class ที่ปารีสด้วยนะ
จุดเริ่มต้นของ Blendies – More than gelato
ฟังดูแล้วเส้นทางการเป็นเชฟก็ดูไปได้ดีเลย แต่ทำไมถึงกลับมาเปิดร้านไอศกรีมที่ไทย? คุณแบมตอบเราแบบตรงไปตรงมา ว่าส่วนหนึ่งค่าใช้จ่ายที่นู่นสูงมาก อย่างเวลาไปกินไอศกรีมทีนึง เคยจ่ายสูงถึง 800 บาทเลย เลยคิดว่ากลับมาทำธุรกิจเป็นของตัวเองที่ประเทศไทยดีกว่า และที่ไม่เลือกทำร้านอาหารเหมือนเดิม คำตอบสั้น ๆ คือเหนื่อย การทำร้านอาหารมีความเหนื่อยกว่ามาก เลยขอลองโฟกัสที่ไอศกรีมก่อน
ที่เลือกเป็นไอศกรีมเจลาโต เพราะส่วนตัวชอบอยู่แล้ว และเคยได้ลองไอศกรีมเจลาโตคลุกพิสตาชิโอสไตล์เลบานอนที่ปารีส ลองกินแล้วชอบมาก แต่ยังติดที่รสชาติไอศกรีมไม่ค่อยโดนใจเพราะเป็นรสนมโยเกิร์ตกลิ่นดอกไม้ฟีลเหมือนขนมอินเดีย เลยที่คิดว่าเปิดที่ไทย ต้องหารสชาติอื่น ๆ ที่ถูกใจคนไทยอย่างเราให้ได้
พอมีไอเดียอยากทำไอศกรีม เลยบินไปชิมไอศกรีมถึงอิตาลีต้นกำเนิดของเจลาโตเลย ลองพัฒนาสูตรให้มีความยูนีค และได้เทกเจอร์แบบที่ชอบ คือมีความเหนียว (แต่ไม่ถึงกับไอศกรีมตุรกีแบบนั้นนะ) ให้เข้าปากไปแล้วจะอยู่ได้นิดนึง ไม่ได้ละลายหายไปทันที เลยออกมาเป็นคอนเซปต์ More than gelato มากกว่าเจลาโตทั่ว ๆ ไป คือมีทั้งความ Chewy, Creamy และ Thick
“Blendies ก็มาจากการผสมผสาน หลาย ๆ อย่างรวมกัน มีการโปะทอปปิ้งแบบสไตล์ปารีส เนื้อไอศกรีมก็เอาเจลาโตมาพัฒนาในแบบของเรา ให้เป็นไอศกรีมที่เคี้ยวได้ การเบลนด์หลาย ๆ สิ่งเข้าด้วยกัน เลยเป็นที่มาของชื่อร้าน Blendies”
พอได้สูตรหรือคอนเซปต์ต่าง ๆ เรียบร้อย ก็เริ่มหาพื้นที่ทำร้าน ด้วยความที่เคยทำธุรกิจร้านอาหารมาก่อน ในมุมของธุรกิจคุณแบมบอกว่าถ้าเราไปอยู่ข้างนอก ค่าเช่าถูกกว่าก็จริงแต่ก็จะไม่ตรงกับกลุ่มลูกค้าที่วางไว้ ด้วยตัวไอศกรีมที่มีราคาสูงกว่าไอศกรีมทั่ว ๆ ไป เลยเลือกสยาม เพราะน่าจะมีกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ ให้ Value กับไอศกรีม และยังมีชาวต่างชาติที่มาแบบหลากหลายมาก ๆ
สไตล์การตกแต่งต่าง ๆ ก็หยิบเอาไวบ์ความเป็นฝรั่งเศสมาใส่บ้าง และพอดีคุณแบมเองมีพี่เขยเป็นเจ้าของร้าน Paco.Bangkok ตรงสุขุมวิท 49 ที่ใจดีมาช่วยในการออกแบบร้านนี้ให้ด้วย ซึ่งถ้าใครเคยแวะไปก็จะเห็นว่าที่ Paco ก็ชอบเล่นกับกระเบื้องโมเสกอยู่แล้ว Blendies ก็เลยหยิบเอาความโมเสกมาปรับใช้กับที่นี่ (ส่วนเคาน์เตอร์ใช้หินอิตาลีเลยนะ)
Blendies ไอศกรีมเจลาโต ที่มีความ Chewy, Creamy และ Thick
ณ ตอนนี้ ไอศกรีมจะมี 10 รสชาติหลัก และมีรสชาติพิเศษอีก 2 รส เป็น Special Of The Month ที่จะหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ โดยทุกรสจะเป็นเบสนม ไม่มีซอร์เบเลย เพราะอย่างที่บอกว่าคอนเซปต์ คือ Chewy, Creamy และ Thick ไอศกรีมเลยต้องต้องไม่มีเกล็ดน้ำแข็ง กินเข้าไปแล้วเนื้อต้องเนียน ละมุน ๆ
ซึ่งแต่ละรสชาติที่คัดมา ก็จะเลือกที่เข้ากับตัวท็อปปิ้งอย่างพิสตาชิโอได้ดี ซึ่งตอนนี้ท็อปปิ้งยังมีแค่ถั่วพิสตาชิโออยู่นะ ที่เลือกพิตาชิโอ้ คุณแบมมองว่าถั่วแต่ละตัวมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน แล้วไม่ใช่ทุกตัวที่จะมีเอกลักษณ์ที่อร่อยแบบมาก ๆ และมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนแบบพิสตาชิโอ
ตัวไอศกรีม 10 รสชาติหลัก ตอนนี้ก็คือ Pistachio, Fresh Milk, Chestnut Vanilla, Cocoa Porcelana, Fresh Fig, Amalfi Lemon, Apricot, Cappuccino, Barracuda Mango (มะม่วงน้ำดอกไม้) และ Calamansi (ส้มจี๊ด)
ความน่าสนใจคือ แม้ว่าจะบอกว่าเป็นไอศกรีมที่มีความครีมมี่ แต่ก็มีรสผลไม้ให้เลือก ซึ่งทุกเมนูที่เป็นผลไม้ ใช้ผลไม้สด ๆ เลย และไม่มีการแต่งสี แต่งกลิ่น อย่างมะม่วงน้ำดอกไม้ บางทียังอาจจะได้เจอใยของมะม่วงอยู่ในไอศกรีมด้วย และเราเองก็ได้ชิมรสผลไม้หลายตัว ทำได้ดี สดชื่นไม่แพ้ซอร์เบ อย่างรสส้มจี๊ด ลองชิมแค่ปลายช้อน ยังเปรี้ยวเหมือนกัดส้มจี๊ดไปทั้งลูก
ความพิถีพิถัน ยังรวมไปถึงโคนไอศกรีม ที่ร้านจะใช้เป็นโคนไอศกรีมที่ทำสด ๆ (ทำที่ร้านเลยนะ) 1 โคนรอประมาณ 2 นาที ที่พิเศษหน่อยคือใช้เนยฝรั่งเศสแบบเพียวบัตเตอร์ 100% ทำให้มีกลิ่นจะหอมชัด เตะจมูกสุด ๆ
อีกหนึ่งจุดสำคัญ คือตู้ไอศกรีมที่นำเข้ามาจากอิตาลีเลย เพราะอยากให้ไอศกรีมได้คุณภาพที่ดี สังเกตว่าตัวฝาไอศกรีมจะเป็นแบบทึบ มองไม่เห็นตัวไอศกรีมด้านใน เพื่อให้ไอศกรีมไม่โดนแสง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เพอร์เฟกต์เหมือนตอนผลิตเสร็จใหม่ ๆ เป๊ะ ๆ แต่ตัวเครื่องก็ช่วยรักษาคุณภาพได้มากเลยทีเดียว
จริง ๆ แล้วถ้าดูราคาก็ค่อนข้างน่าสนใจ เมื่อเทียบกับคุณภาพและความพิถีพิถัน โดยรสเบสิค 1 สกู๊ป เริ่มต้นเพียง 129 บาท ถ้าเลือกแบบโคนใส่ท็อปปิ้งพิสตาชิโอด้วย ก็เริ่มต้นเพียง 179 บาท ตอนนี้ทุกเมนูแถมวิปครีมฟรีด้วยนะ เป็นวิปครีมฝรั่งเศส เนื้อแน่นหวานมันกำลังดี
ส่วนเรามาทั้งทีไม่พลาด Premium Signature แน่ ๆ เป็น รส Pistachio แบบโคน 1 สกู๊ป ใส่ท็อปปิ้งพิสตาชิโอพูน ๆ (219 บาท) ตัวไอศกรีมพิสตาชิโอมีความมัน หวานน้อย เนื้อมีความหนึบหนับกว่าเจลาโตทั่วไปจริง ๆ ยิ่งกินกับถั่วพิสตาชิโอกรุบ ๆ ยิ่งเพลิน ส่วนตัวโคนมีความกรอบแต่ไม่ถึงกับแข็ง กัดง่าย บางกำลังดี
อีกตัวเป็นเมนูที่ฮอตไม่แพ้กัน คือ Cocoa Porcelana เลือกแบบโคนใส่ท็อปปิ้งพิสตาชิโอ (179 บาท) รส Cocoa เข้มข้นสุด ๆ เข้ากับไอศกรีมเนื้อแน่น และโคนวานิลลา เมนูนี้พิเศษตรงที่ทางร้านทำเองแบบเรียกได้ว่า from bean to scoop เลย
เริ่มตั้งแต่เอาเมล็ดพันธุ์ที่คัดมาจากเวเนซุเอลา มาเพาะจนได้เป็นผลมาใช้ อบแห้งด้วยกรรมวิธี แล้วพาสเจอร์ไรซ์ จากนั้นทำให้สุกด้วยการอบอีกอุณหภูมิ พอสุกก็ถึงจะนำมาเบลนด์กับไอศกรีม เลยได้รสชาติเข้ม ๆ แบบเต็มที่
ส่วนที่เห็นว่ามี Merchandise คุณแบมบอกว่าตอนแรกก็อยากจะขาย แต่ยังไม่รู้ว่าตลาดในไทยเป็นยังไง เลยทำเป็นแค่ม็อกอัพมาวางให้เป็นแบรนด์ดิ้งเฉย ๆ แต่ปรากฏว่าก็มีลูกค้ามาขอซื้ออยู่บ่อย ๆ เลยคิดว่าน่าจะได้เจอกับ merchandise ฉบับพร้อมขายในอนาคต
ใครที่อยากซื้อไอศกรีมกลับบ้านก็อดใจรออีกนิด จะเห็นว่ามีตู้หน้าแช่หน้าร้านแล้ว แต่ตัวแพ็กเกจจิ้งมาไม่ทันช่วงเปิดตัวร้าน เพราะเค้าตั้งใจทำแพกเกจจิ้งแบบพิเศษ ผลิตเป็นถ้วยพลาสติกเก็บความเย็น ทนความเย็นได้ -40 องศา ฝาเป็นเกลียวดับเบิ้ลล็อก และตรงก้นของแพ็กเกจทำรูเอาไว้ 4 รู ใช้เสร็จสามารถเจาะรูแล้วทำเป็นกระถางต้นไม้ได้ ไม่อยากให้ลูกค้าซื้อกลับบ้านกินเสร็จแล้วทิ้งเลย เร็ว ๆ นี้น่าจะได้เจอกัน
ระหว่างนี้ใครอยากลองไอศกรีมเจลาโต้เคลือบพิสตาชิโอ้แน่น ๆ ต้องแวะไปลองที่สยามสแควร์เลยนะ 🙂
Blendies Thailand
เปิดทุกวัน 10:00 – 22:00 น.
สยามสแควร์วัน ติดกับประตู Gate 6
BTS สยาม | มีที่จอดรถ
https://goo.gl/maps/JxV4yMdchtp5o6o66
