คาเฟ่ดี ๆ ไม่ได้มีแค่ในย่านป๊อป ๆ ของกรุงเทพฯ เพราะบ่อยครั้งที่เราได้เจอร้านโปรด ก็ตอนแวะเวียนออกมารอบนอกเมืองนี่แหละ เหมือนกับคราวนี้ที่เราได้มาถึงซอยวัดศรีประวัติ บางกรวย นนทบุรี ด้วยความตั้งใจมาคาเฟ่ใหม่ ที่ฝีมือไม่ใหม่อย่าง Woodberry Home Kitchen เห็นงานไม้แบบนี้ เอกลักษณ์ตะโกนชัดว่าต้องเป็นฝีมือเดียวกันกับร้าน Barn Brasserie โฮมคาเฟ่สไตล์โรงนาที่อยู่ไม่ไกลกันแน่ ๆ
เมื่อมาถึงเราก็ได้คำตอบว่า “ใช่แล้ว!” Woodberry Home Kitchen เป็นร้านใหม่ ที่เรียกว่าเป็นบ้านอีกหลังของครอบครัว Barn Brasserie นี่เอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเลย ขยับมาเพียง 4-5 กิโลเมตรเท่านั้น
คราวนี้มาอยู่ในพื้นที่ให้เช่า ที่มีโครงสร้างเหมือนโรงนาในต่างประเทศ มีดีไซน์ด้านนอกเท่ไม่หยอก ส่วนด้านใน Woodberry จัดการใส่ DNA ปรับตกแต่งให้มีความไม้ และมีความโฮมมี่มากขึ้น ซึ่งที่นี่จะดูโอ่โถง กว้างขวาง มีที่นั่งโต๊ะใหญ่หลายโซน เหมาะกับการมานั่งกินกันจริงจังได้มากขึ้น
เราได้เจอกับคุณ นภัสนันท์ จิดตาบุญทรัพย์ หรือ พี่อุ้ย ผู้ที่เป็นเจ้าของลายเซ็นงานไม้ขัดเหล่านี้ จึงได้รู้ว่าตอนนี้ Barn Brasserie ปรับตัวเป็นสตูดิโอให้เช่า และมีคอร์สพิเศษที่เปิดเป็นรอบ ๆ ตามวาระโอกาส ไม่ได้เปิดเป็นคาเฟ่ตลอดแบบเดิมแล้ว
พี่อุ้ยบอกเราว่า ที่ออกมาเปิดร้านใหม่ในที่แห่งใหม่แทนที่จะขยายตัวจากพื้นที่เดิม ก็เพราะอยากเก็บเสน่ห์ของพื้นที่ที่มีความเป็นโรงนา มีโถงโล่ง ๆ ที่เป็น Open Air ของ Barn Brasserie เอาไว้ ไม่อยากกั้นห้องเพิ่ม หรือเอาเครื่องปรับอากาศไปติด ให้ยังมีความเป็นคลาสสิคทิ้งไว้แบบนั้นต่อไป
อีกเหตุผลหลักที่เกิด Woodberry คืออยากจะเอาครัวจาก Wood Cafe คาเฟ่อีกแห่งย่านลาดพร้าว-วังหิน (ที่พี่อุ้ยดูแลเรื่องอาหารอยู่) ยกมาไว้ที่นี่แทน เพราะสะดวกกว่า ทำอะไรได้มากกว่า และพี่อุ้ยเองก็จะประจำครัวอยู่ที่นี่เลย ส่วน Wood Cafe จะมีเพียงขนมและเครื่องดื่มไปก่อน (ส่วนอนาคตจะมีอาหารอีกไหม ก็ว่ากันอีกทีนะ)
แม้ว่าจะมาเปิดร้านใหม่ แต่อย่างที่บอกว่าการใช้ไม้เก่าในการตกแต่งร้านนี้ มีเอกลักษณ์มาก ๆ ซึ่งเราจะเห็นการเอาไม้เก่ามาทาสีแล้วขัดออก มีร่องรอยสีขาวแบบไม่ตั้งใจนี้มาตั้งแต่ที่ลาดพร้าว-วังหิน ต่อเนื่องมาถึง Barn Brasserie ซึ่งทั้งการตกแต่ง การออกแบบร้าน รวมถึงการประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม้ มาจากฝีมือพี่อุ้ยล้วน ๆ
คอนเซปต์ตรงนี้พี่อุ้ยเล่าว่า เริ่มมาจากตั้งแต่ตอนที่เริ่มทำร้านที่วังหิน เป็นคนชอบไม้เก่า และอยากอนุรักษ์ไม้เก่าอยู่แล้ว หลาย ๆ ชิ้นที่เห็นจะเป็นไม้เก่าที่เอามาจากโรงไม้เก่าของพี่สาว เหมือนกับว่าพอได้เอามาใช้ ได้มองเห็นว่านี่คือชิ้นส่วนที่เคยเป็นโรงไม้ของเรา ก็มีความสุข
ถ้าถามว่าการตกแต่งที่ Woodberry เน้นเป็นสไตล์อะไร พี่อุ้ยตอบเราได้ง่าย ๆ ว่า เป็นการเอาสไตล์ห้องรับแขกอบอุ่น ๆ แบบ Wood Cafe ผสมเข้ากับสไตล์ความเป็นโรงนาวินเทจ ๆ แบบ Barn Brasserie เลย
“พอมาอยู่ตรงนี้เราก็ยังอยากให้มีความเป็นฟาร์มนิด ๆ แล้วก็มีความเป็นห้องรับแขก เหมือนเป็นบ้าน ให้ลูกค้านั่งสบายให้สบายมากขึ้น แต่ก็ยังคงตกแต่งในแบบสไตล์ความเป็นเรา”
ยกครัวจาก Wood Cafe สู่ Woodberry Home Kitchen
ฝั่งอาหาร อย่างที่บอกว่าโยกย้ายมาจาก Wood Cafe เมนูอาหารก็จะมีทั้งเมนูเดิมที่ยกมา เมนูที่คิดขึ้นมาใหม่ รวมไปถึงเมนูพิเศษจาก Barn Brasserie ที่เคยได้ครีเอตขึ้นมาตอนทำเมนูให้กับคอร์สพิเศษ โดยหลัก ๆ เมนูที่เสิร์ฟ จะเป็นแนวแบบที่บ้านพี่อุ้ยชอบ คือออกแนวอาหารฝรั่งสัญชาติไทย ที่มีรสมือไทย ๆ อย่างเมนูที่ปกติใช้เนย ก็เปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะกอกแทน ทำให้ไม่มัน ไม่เลี่ยนเกินไป และยังเป็นอาหารที่ออกแบบมาเพื่อให้มีประโยชน์ ไม่มีผงชูรส เพื่อให้กินได้อย่างสบายใจ
พอเป็นเมนูที่ใส่ใจสุขภาพด้วย ที่นี่เลยมีเมนูผักเยอะมาก ๆ รวมถึงมีมะเขือเทศหลากหลายสายพันธุ์สุด ๆ และวัตถุดิบก็จะเน้นคัดสรรวัตถุดิบที่ดี เลือกใช้ของคุณภาพดีแบบไม่ห่วงต้นทุนเลย เพราะอยากให้ลูกค้าได้กินของที่ดี สะอาด สด ใหม่
พี่อุ้ยบอกเราว่า เมนูต่าง ๆ ที่นี่ ครีเอตกันขึ้นมาเอง เป็นสไตล์ตัวเองถ้าเห็นจากชื่อร้านที่มีคำว่า Home Kitchen เพราะไม่อยากให้ลูกค้าคาดหวัง เพราะบางเมนูที่ลูกค้าเห็นชื่อแล้วคิดว่าจะต้องเหมือนร้านอื่น ๆ แต่หลายอย่างก็ไม่ได้ทำแบบนั้น
“เราเรียกตัวเองว่าเป็น Home Cook เพราะว่าอาหารที่นี่มันเป็นสไตล์โฮมเมดของบ้านเรา เมนูก็จะเป็นสูตร หรือรสชาติแบบที่บ้านเราชอบ อย่างเมนูซีซาร์สลัดสูตรของที่บ้านไม่มีครูตองซ์ เพราะเราไม่อยากกินแป้ง เลยเปลี่ยนเป็นใส่มะเขือเทศแทน กลายเป็นซีซาร์สลัดที่เป็นสไตล์ของที่นี่”
ในฝั่งเครื่องดื่มก็จริงจังไม่แพ้กัน มีทั้ง Coffee และ Non-coffee กาแฟที่นี่จะใช้เมล็ดที่เป็นพรีเมียม บราซิล-โคลัมเบีย มาทำเป็น House Blend หลัก ๆ จะเป็นคั่วกลางดื่มง่าย ส่วนเมนู Non-coffee ก็มีทั้งโกโก้พรีเมียม มัทฉะนำเข้าจากญี่ปุ่น และเมนูผลไม้ที่ใช้เป็นน้ำผลไม้สด
ฝั่งขนมยังคงคล้ายกับที่ Wood Cafe แต่มีเพิ่มเติมคือ เมนูขนมของคาว อย่างไส้อั่ว แฮมชีส มีความเป็นบรันช์หน่อย ๆ ที่พิเศษขึ้นมาคือ เริ่มทำเมนูขนมปังมากขึ้น อย่างบาแก็ตก็อบเองเลย ที่ชอบขนมของที่นี่ คือเมนูขนมส่วนใหญ่จะลดน้ำตาลให้มีความหวานน้อย (แต่เมนูไหนที่ต้องหวานก็หวานได้นะ) หรืออย่างเมนูครีม ก็จะเป็นสูตรไขมันน้อย ทำให้รู้สึกไม่เลี่ยน
ลิ้มลองเมนูฉบับ Woodberry Home Kitchen
มาคราวนี้ เราได้ลองหลายเมนูมาก ๆ เริ่มจากเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง วู้ดสลัด (265 บาท) เรียกว่าเป็นสลัดแก้หวัด เพราะน้ำสลัดเป็นวาซาบิน้ำใส เข้ากันได้ดีกับปูอัด และเบคอนบด มีผักคอส เคล และผักกับมะเขือเทศตามฤดูกาลเพิ่มความสดชื่น
จานถัดมาเป็น เส้นแองเจิลแฮร์ กุ้งย่างผัดพริกขี้หนูสด (295 บาท) ทางร้านเลือกใช้เป็นพริกขี้หนูสวนที่เลือกเอาแต่สีเขียวมาผัดกับโหระพาจนหอม ไม่เผ็ดเกินไป ท็อปด้วยกุ้งตัวโต ที่มาแบบติดคางกุ้ง เป็นคางกุ้งกรอบเน้น ๆ ไม่ผสมแป้ง ถูกใจคนชอบกินคางกุ้งมาก
พาสต้าอีกจานต้องลอง สปาเก็ตตี้ขี้เมาปลาสลิดทอด (275 บาท) เมนูสปาเก็ตตี้ปลาสลิดที่ตั้งใจทำมาลบภาพวิญญาณปลาสลิด ด้วยการให้ปลาสลิดทั้งตัว! เลือกมาแบบตัวอ้วน ๆ ทอดจนฟูกรอบ แล้วจัดวางเป็นซีกใหญ่ ๆ หอมเค็มนิด ๆ เข้ากันได้ดีกับผัดขี้เมา
ก่อนจะไปของหวาน ขอตัดรส เพิ่มความสดชื่นด้วย Summer Fruit (120 บาท) เมนูน้ำผลไม้เนื้อแน่น ๆ เบสเป็นน้ำส้ม เสาวรส และมะนาว ใส่ผลไม้สดตามฤดูกาลจนแน่นแก้ว เปรี้ยวหวานสดชื่นสุด
เมนูขนม เราลอง Carrot Cake (145 บาท) เป็นแครอทเค้กเนื้อหนุบหนับ ท็อปด้วยครีมชีสเนื้อแน่น เนียน ละมุนลิ้น ชอบตรงที่เนื้อเค้กมีความ Juicy นิด ๆ ไม่แห้งกระด้าง
และปิดท้ายด้วย Wood Chocolate (145 บาท) เป็นดาร์กช็อกโกแลต ที่เป็นเนื้อช็อกโกแลตล้วน ๆ ไม่มีแป้ง ไม่มีน้ำตาล ใช้ความหวานจากช็อกโกแลตเลย เพิ่มเทกเจอร์ด้วยโอริโอ้ ช็อกโกแลตชิพ และโรยผงโกโก้ เนื้อหนึบดีมาก ยกให้เป็นอีกหนึ่งเมนูโปรด ที่บอกเลยว่าถ้าได้ลองแล้วเบรกแตกแน่ ๆ
เรียกว่าเป็นร้านที่ทำให้รู้สึกอิจฉาชาวนนทบุรีที่มีร้านมู้ดดีแบบนี้อยู่ใกล้ ๆ ส่วนคนกรุงฯ แม้จะแอบไกลสักหน่อย แต่เราว่าเป็นอีกหนึ่งร้านที่ถ้ามีโอกาส น่ามาใช้เวลามาก ๆ
Woodberry Home Kitchen
เปิด 10:00 – 20:00 น. (ปิดทุกวันพุธ – พฤหัส)
ซอยวัดศรีประวัติ บางกรวย ตรงข้ามเยื้องหมู่บ้าน Casa Ville
มีที่จอดรถ
Google Maps
