ย่านกรุงเก่าอย่างเจริญกรุง และละแวกใกล้เคียง ยังคงมีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงให้เราได้แวะเวียนมาอยู่เสมอ เพราะเราจะได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่แอบสอดแทรกอยู่ท่ามกลางอาคารเก่า และวิถีชีวิตของชาวบ้านย่านนี้ที่อาศัยอยู่มานานแสนนานกันอย่างกลมกลืน ย่านเมืองเก่าเหล่านี้จึงยังคงสนุกกับการออกไปค้นหาอะไรที่แอบซ่อนตัวอยู่เสมอ ที่สำคัญคือ เจริญกรุงมีแทบทุกอย่างที่เราตามหา ทั้งพื้นที่ศิลปะ ร้านคราฟต์จากความชอบต่าง ๆ ร้านอาหารดี ๆ คาเฟ่ชิลล์ ๆ ไปจนถึงบาร์ให้นั่งหย่อนกายสบายใจ
และย่านนี้เองก็เพิ่งมีบาร์เล็ก ๆ ขนาดหนึ่งคูหา ที่มาพร้อมกรอบประตูสีเขียวเตะตา คล้ายว่าจะกวักมือให้เราแวะเข้าไปสักหน่อย กับชื่อร้านแก่น ๆ สนุก ๆ อย่าง Very Nice Bar ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อธันวาคม 2565 ที่ผ่านมานี้เอง
Routeen. มีโอกาสจับตัวหนึ่งในห้าผู้ร่วมก่อตั้ง Very Nice Bar อย่างคุณตุล – ตุลยา ตุลย์วัฒนจิต มานั่งพูดคุยถึงที่มากันสักหน่อย (เปล่าจับมาเป็นตัวประกันใด ๆ จ้า) โดยพาร์ตเนอร์อีก 4 ท่านได้แก่ คุณเจนศักดิ์ดา จาระณะ, คุณสุธินี โปร่งเมฆ, คุณสุธาวี ถนอมบูรณ์เจริญ และคุณณัฐพงศ์ ดาววิจิตร ทั้งห้าเป็นเพื่อนร่วมงานเก่าด้วยกันมาก่อนอยู่แล้ว และยังชอบไปแฮงก์เอาต์ด้วยกันอยู่บ่อย ๆ โดยมีร้านอิซะกะยะเป็นเป้าหมายในการนัดเจอกันอยู่เสมอ
“ตั้งใจให้เป็นบาร์ที่โล่ง ๆ แนว Blank Canvas รู้สึกรีแลกซ์ ลดความจัดลง เพิ่มความสงบเข้าไปมากขึ้น แม้จะยังไม่ถึงขั้นนิ่ง ๆ แบบ Speakeasy Bar ก็เถอะ”
ถึงอย่างนั้น ร้านอิซะกะยะก็เป็นอะไรที่ Love/Hate ของพวกเขา เพราะคงปฎิเสธไม่ได้ว่าจะมีที่ไหนที่อาหารมาพร้อม และเครื่องดื่มก็ครบครัน ใครสายกินก็ถูกใจ สายดื่มก็ถูกคอ แต่ในขณะเดียวกัน อิซะกะยะก็ค่อนข้างเอิกเกริก ตกแต่งเยอะ ๆ หนัก ๆ วุ่นวายในบางที แถมยังมีความเป็นลูกผู้ชายสูงเวอร์ ทั้งห้าเลยเริ่มมีไอเดียในการเปิดร้านเล็ก ๆ ของพวกเขากันเอง โดยมีอิซะกะยะนี่แหละเป็นตัวตั้ง (เพราะยังอยากให้เป็นที่ที่คนอยากมาทานอาหาร หรืออยากมาดื่มแอลกอฮอล์ ก็มาด้วยกันได้) แต่ขอหารเอาความเอิกเกริก ความวุ่นวายต่าง ๆ ออกไปสักหน่อย จึงออกมาเป็นบาร์อย่างที่เรานั่งอยู่ในตอนนี้
คุณตุลบอกว่ากว่าจะมาลงตัวที่นี่ ก็ใช้เวลาหาสถานที่นานนับปี จากการแวะดื่มกาแฟที่ร้าน La Cabra ย่านตลาดน้อย แล้วเจอห้องแถวนี้ติดป้ายให้เช่าพอดี ด้วยโลเคชั่นที่โอเค มีร้านราวงอยู่ในละแวกที่ดูเป็นคอมมูนิตี้สนุก ๆ ได้ ทั้งคาเฟ่ ร้านไก่ทอด จึงลงหลักปักฐานที่นี่ โชคดีที่หนึ่งในพาร์ตเนอร์เป็น Interior Designer อยู่แล้ว การออกแบบและปรับปรุงพื้นที่ให้กลายเป็นบาร์ตามที่พวกเขามองไว้จึงเกิดขึ้นอย่างไหลลื่น โดยยังเก็บโครงสร้างเดิมเอาไว้ ส่วนผนัง และพื้น ปรับปรุงใหม่เล็กน้อย รวมถึงการเดินระบบไฟ และระบบน้ำใหม่ เพื่อรองรับเคาน์เตอร์ที่วางตอนลึกไปตามแนวร้าน เสริมความเป็นบาร์มากขึ้น โดยตั้งใจให้เป็นบาร์ที่โล่ง ๆ แนว Blank Canvas รู้สึกรีแลกซ์ ลดความจัดลง เพิ่มความสงบเข้าไปมากขึ้น แม้จะยังไม่ถึงขั้นนิ่ง ๆ แบบ Speakeasy Bar ก็เถอะ
ส่วนการตกแต่งภายในร้าน ก็ได้ 2 ใน 5 พาร์ตเนอร์มาร่วมด้วยช่วยกัน เนื่องจากทั้งคู่เป็นศิลปินที่ทำงาน Illustrate อยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในสองคนนี้ก็คือคุณตุลนั่นเอง (แอบกระซิบว่า หากใครเป็นแฟนลายเส้นและผลงานของ tuna.dunn ก็คือคุณตุลคนนี้นั่นเองงง เราก็กรี๊ดออกไปดัง ๆ แล้วเมื่อรู้ ฮ่า) ทั้งแบรนด์ดิ้ง โลโก้ของร้าน หรือภาพประกอบในร้าน ก็มาจากพวกเขาทั้งสิ้น สีหลัก ๆ ของร้านจะออกมาเป็นสีจากไม้ สีเทาจากปูน และเพิ่มสีเขียวเข้าไปให้มีดีไซน์ และไม่ให้ร้านดูเครียดเกินไป
ส่วนชื่อร้านเก๋ ๆ นี้ก็มาจากคำพูดติดปากของเพื่อน ๆ กลุ่มนี้นี่แหละ ที่เวลาพวกเขารวมกลุ่มกันไปที่ไหน แล้วเจอไอเท็มเด็ด ที่สวย ๆ อาหารถูกใจ ก็จะชอบพูดว่า “เวรี่ไนซ์” แทนความดีงามของสิ่งที่เจอตรงหน้า พอถึงเวลาที่ต้องตั้งชื่อร้าน ชื่อนี้จึงมาแรงแซงทางโค้งเพราะติดปาก (และติดอยู่ในใจของทุกคน) จึงลงเอยมาเป็น Very Nice Bar นั่นเอง
ขึ้นชื่อว่าบาร์ เราจึงขอเริ่มด้วยเครื่องดื่มต่าง ๆ ในร้านกันสักหน่อย ทางร้านเลือกการเสิร์ฟเครื่องดื่มด้วยประสบการณ์ของพาร์ตเนอร์ทุกคนเป็นหลัก คิดว่าอยากดื่มอะไร อยากเสิร์ฟอะไร จากนั้นจึงเริ่มเทสต์เครื่องดื่มต่าง ๆ ออกมา ซึ่งต้องบอกว่าเครื่องดื่มที่นี่จะไม่ซับซ้อน เน้นเข้าใจง่าย ๆ และค่อนข้างไปทางฝั่งญี่ปุ่นเล็กน้อย จากการได้แรงบันดาลใจมาจากอิซะกะยะนั่นแหละ
เราถือโอกาสนี้ลองเครื่องดื่มหลาย ๆ ตัว ตั้งแต่เครื่องดื่มง่าย ๆ อย่าง Highball (220 บาท) ที่เรียกว่าเป็นแก้วที่อยู่คู่กับชาวอิซะกะยะเสมอ ที่นี่จะใช้วิสกี้ของ Santory มิกซ์กับโซดาและเลมอนมาแบบกลมกล่อม จิบง่าย แกล้มกับอาหารก็ได้กำลังดี หรือจะเป็น Yuzu Beer (280 บาท) ทางบาร์เลือกเป็นดราฟต์เบียร์ซัปโปโร นำมาแต่งกลิ่นสกัดยุซุ ไม่ใช่ใส่ไซรัปยุซุเข้าไป ทำให้ไม่ถูกรสหวานจากไซรัปเปลี่ยนรสชาติของเบียร์ไป แต่ยังได้ยินยุซุตีขึ้นชัดเจนทุกครั้งที่ยกดื่ม ส่วนตัวเราชอบแก้วนี้เพราะเหมือนได้รีเฟรชขึ้นจริง ๆ
อีกแก้วเป็น Ume-Jello (250 บาท) ที่เอาใจคออุเมะชูกันสักหน่อย อุเมะชูที่นี่โดดเด่นที่รสชาติไม่หวานจนเกินไป ยังได้ความอุเมะอยู่ชัด เสริมด้วยวุ้นอุเมะชูที่ทางบาร์ทำเอง ที่ทางร้านได้ไอเดียมาจากการไปเห็นขนมที่ทำมาจากอุเมะชู จึงนำมาปรับเปลี่ยน และนำมาใช้กับเครื่องดื่มให้เราได้เคี้ยวเพลิน ๆ ส่วนใครเป็นคอสาเก ที่นี่ก็มีสาเกให้เลือกดื่มหลายยี่ห้ออยู่เหมือนกันนะ
ส่วนอาหารก็คงหลีกไม่พ้นกลิ่นอายของญี่ปุ่นตามสไตล์อิซะกะยะ แต่ถูกฟอร์มหน้าตา และแพ็กเกจขึ้นมาใหม่ให้ดูนิ่งขึ้น เฟรนด์ลี่ขึ้น และมีอะไรซ่อนอยู่ในจานมากขึ้น เราได้ลองออเดิร์ฟอย่าง รากบัวทอด (80 บาท) จานง่าย ๆ แต่กินเพลินสุด ๆ ทางบาร์ทดลองมาอย่างโชกโชนว่าทำอย่างไรให้รากบัวกรอบอร่อย แต่ต้องยังได้สัมผัสของเนื้อรากบัวด้วย ไม่ใช่กรอบจนกลายเป็นชิปส์ขนาดนั้น จนมาเจอความหนาในการหั่นรากบัวที่พอดี ที่เราต้องบอกว่า เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้แต่เขาก็ใส่ใจกันจริง ๆ และแน่นอนว่าเคี้ยวเพลินจนหมดจานง่าย ๆ เลย
อีกจานเป็น Mixed Mushroom Croquettes With Miso Soy Dressing (150 บาท) ครอเกต์เห็ดรวมไส้แน่น ๆ ผสมกับวากาเมะ ที่ทอดออกมาได้กรอบนอกนุ่มใน มาพร้อมซอสสูตรพิเศษที่ใช้ Soymilk ผสมกับ Miso น้ำมัน และเลมอนเล็กน้อย ตีกวนจนออกมาเป็นเนื้อมาโยรสชาติเปรี้ยวหวานลงตัว
จัดหนักด้วย Cold Ramen with Milky Soy Dressing (220 บาท) ราเมนเสิร์ฟเย็นที่มีเบสเป็น Soymilk อีกแล้ว ท็อปด้วยเต้าหู้ แตงกวาญี่ปุ่น กระเทียมต้น และไข้ต้มซีอิ๊ว มีชิลลี่ออยหยอดนิด ๆ เพิ่มรสชาติ จานนี้ต้องบอกว่าเซอร์ไพรส์มาก ๆ เพราะรสเบา ๆ กินง่าย แต่รีเฟรชมาก ๆ เรียกว่าเป็นการปิดวันเหนื่อย ๆ ได้ดีทีเดียว
สำหรับคนรักข้าว จะลองเป็น Braised Pork Belly With Rice And Pickles (280 บาท) หมูชาชูพร้อมข้าวญี่ปุ่นที่ตุ๋นมานุ่มกำลังดี ยังมีเท็กซ์เจอร์ให้ได้เคี้ยว เสิร์ฟพร้อมกับผักดองที่ทางร้านดองเอง เราชอบมะเขือเทศที่ดองกับชิโอะโคจิเป็นพิเศษ กินแล้วสดชื่นดีจริงอะไรจริง ใครชอบไข่ดองโชยุก็สามารถขอเพิ่มได้เช่นกันนะ (30 บาท)
แอบกระซิบว่าอนาคตทางบาร์จะมีกิจกรรมอะไรเพิ่มเติมให้เราได้ไปจอยอีกมากมาย อย่างที่ผ่านมาก็มี DJ Night ไปแล้วอยู่ครั้งสองครั้ง หรืออย่างเดือนพฤษภาคม 2566 ก็จะมีจัดแสดงผลงานภายในบาร์ด้วย (รู้มาว่าจะเป็นงานของ 1 ใน 10 ศิลปินที่เข้าร่วมนิทรรศการ Current Currents ที่ผ่านมา แต่จะเป็นใครนั้นต้องแอบมาดูที่งานเองแล้วแหละ) เรียกว่ามีดีที่บรรยากาศ เครื่องดื่ม อาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เราแทบจะต้องจดเอาไว้ทุก ๆ เดือนว่าต้องแวะมาขนาดนี้ คงยืมคำว่า “เวรี่ไนซ์” มาใช้กับบาร์นี้ได้เหมือนกันแหละเนอะ
Very Nice Bar
เปิดทุกวัน (เว้นวันจันทร์) เวลา 18:00 – 24:00 น.
ถนนเจริญกรุง ตลาดน้อย สัมพันธวงศ์
MRT หัวลำโพง แล้วต่อพี่วิน หรือเดิน | มีที่จอดรถที่ตึกออฟฟิศตรงข้าม (มีค่าจอด)
Google Maps