ไม่รู้ว่าย่านสาธุประดิษฐ์ แถวพระราม 3 ในสายตาของทุกคนเป็นอย่างไร บางคนอาจมองว่าเป็นย่านที่อยู่อาศัยใกล้เมือง ที่มีของอร่อย ๆ มีตลาดให้แวะเวียน และเดินทางไปได้ไม่ยาก แต่ใครจะไปคิดว่า ในซอยสาธุประดิษฐ์ 41 จะมีร้านเท่ ๆ และน่าสนใจซ่อนตัวอยู่มากมาย (ซึ่ง Routeen. จะพาไปทำความรู้จักกับร้านทั้งหมดในซอยนี้อีกครั้ง เร็ว ๆ นี้นะ) หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ ที่ตอนกลางคืนช่วงสุดสัปดาห์จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบาร์ที่มีไวป์สนุก ๆ ที่มาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งที่เตะตาและดูสนุกสุด ๆ จนเราอดใจไม่ได้ที่จะผลักประตูเข้าไป กับ The Ordinary Mansion คาเฟ่ ที่ชื่อไม่เหมือนคาเฟ่แห่งนี้
เราชักชวน คุณเฟิร์น – ขนิษฐา แสงสวัสดิ์ และคุณภูมิ – วรัญชัย ปลอดกระโทก มานั่งพูดคุยด้วยกันสักหน่อยถึงที่มาที่ไปของคาเฟ่แห่งนี้ เลยทำให้ได้รู้ว่าที่จริงแล้วทั้งสองคนก็เป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์มือสองออนไลน์ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Yellow Summerrine Store นั่นเอง (แต่ช่วงที่มาทำ The Ordinary Mansion คาเฟ่ ก็แอบปิดร้านไประยะหนึ่งเหมือนกัน) เพราะทั้งคุณเฟิร์นและคุณภูมิเป็นคนชอบแต่งบ้านอยู่แล้ว รวมถึงความชอบในการดูภาพยนตร์ที่พอเห็นเฟอร์นิเจอร์สวย ๆ ในนั้น ก็อยากไปตามหาของจริงอยู่เรื่อย ๆ
วันหนึ่ง สตูดิโอที่ไว้ใช้ถ่ายงาน และถ่ายสินค้าของ Yellow Summerine Store มีเหตุให้ต้องหาบ้านใหม่ จนได้มาเจอตึกแถวแห่งนี้ ความตั้งใจแรกจึงเริ่มจากการให้พื้นที่นี้เป็นสตูดิโอ แต่เมื่อทำไปนานวันเข้าก็เริ่มไม่เหมาะทั้งขนาดของพื้นที่ และเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องยกขึ้นยกลง ความคิดว่าจะปรับปรุงห้องนี้เป็นอย่างอื่นจึงเริ่มขึ้น ไอเดียเริ่มการทำบาร์จึงเริ่มขึ้น ถึงอย่างนั้น พอทำบาร์ตอนกลางคืน พื้นที่นี้ก็ว่างในตอนกลางวัน จึงเพิ่มพาร์ตคาเฟ่ในตอนกลางวันเข้ามาด้วยนั่นเอง
The Ordinary Mansion คาเฟ่ เปิดให้บริการครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2565 (นอกจากคุณเฟิร์นและคุณภูมิแล้ว ร้านนี้ยังมีหุ้นส่วนเป็นเพื่อนของคุณภูมิอีก 1 คนด้วย) ทั้งคู่เองค่อนข้างรู้เรื่องงานดีไซน์และเทสต่าง ๆ อย่างดีอยู่แล้ว เพราะจริง ๆ นอกจากการดูแลร้านนี้ คุณเฟิร์นเองก็เป็นสไตลิสต์ ผู้ช่วยอาร์ตไดเรกเตอร์ ส่วนคุณภูมิเองก็เป็นโปรดิวเซอร์ งานออกแบบและการเลือกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ในร้านทั้งหมดจึงมาจากไอเดียของทั้งคู่เอง และแน่นอนว่าเฟอร์นิเจอร์ในร้านแทบทั้งหมด ก็มาจาก Yellow Summerrine Store นั่นเอง เพราะอยากให้ที่นี่ได้เป็นโชว์รูมเล็ก ๆ ที่สามารถมาดู มาจับต้อง และทดลองนั่งหรือใช้งานเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นได้จริง ๆ ด้วย
“จริง ๆ นอกจากการดูแลร้านนี้ คุณเฟิร์นเองก็เป็นสไตลิสต์ ผู้ช่วยอาร์ตไดเรกเตอร์ ส่วนคุณภูมิเองก็เป็นโปรดิวเซอร์ งานออกแบบและการเลือกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ในร้านทั้งหมดจึงมาจากไอเดียของทั้งคู่เอง”
ด้วยรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ที่นี่ถูกตกแต่งออกมาในแนวของ Mid-Century Modern ที่ผสมผสานกัน ที่ไม่ใช่แค่การหยิบเอาเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ มามิกซ์แอนด์แมตช์กันเท่านั้น หากยังเปลี่ยนบางมุมบางจุดของอาคารให้เข้ากับภาพรวมทั้งหมดของร้านอีกด้วย พร้อมแอบใส่กิมมิกต่าง ๆ ที่หยิบเอาจากความชอบของทั้งคู่เข้ามาซ่อนไว้เป็นจุด ๆ ทั่วร้าน เช่นบริเวณด้านหลังร้านที่มีการทุบพื้นที่ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่ออยากให้ตัวร้านมีช่องแสงธรรมชาติบ้าง พร้อมกับปรับปรุงห้องน้ำใหม่ เปลี่ยนประตูห้องน้ำให้กลายเป็นทางเข้าลิฟต์แบบโบราณที่ทั้งคู่ชอบเข้าไป (ที่มองเผิน ๆ ก็ไม่รู้เลยว่าตรงนี้คือห้องน้ำ!) เติมสวนดอกไม้ประดิษฐ์และฉายโปรเจกเตอร์รูปดวงจันทร์เข้าไปอีก แค่มุมนี้มุมเดียวก็มีกิมมิกให้ถ่ายรูปเล่นเยอะไม่ไหวแล้ว
หรืออีกมุมที่เตะตาตั้งแต่เดินเข้าร้านมา ก็คือมุม Phonebooth ที่ทางเข้าของร้าน แน่นอนว่าก็มาจากความชอบของทั้งคู่อีกแล้ว และก็ใช้พื้นที่ตรงนี้ให้เป็นจุดบังตาบริเวณทางเข้า เพื่อเพิ่มความไพรเวทของร้านได้ด้วย แต่ยังมีกิมมิกแปลกใหม่ให้คนแวะเวียนมาถ่ายรูปได้อีก
เราจะเห็นว่าที่ร้านจะไม่ได้จัดฟอร์มให้เป็นร้านนั่งจ๋า ๆ แบบที่มีโต๊ะและเก้าอี้จริงจัง แต่เลือกที่จะเป็นโต๊ะเล็กบ้าง โซฟาบ้าง หรือเก้าอี้เดี่ยว ๆ วางไว้บางตัว รวมถึงหยิบเอาเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ชอบ และไวนิลวงที่ตัวเองรักมาวางไว้ในร้าน เพราะอยากให้มู้ดเหมือนมาบ้านมากกว่า ซึ่งก็สอดคล้องกับชื่อร้าน ที่อยากให้เราเป็นพื้นที่สบาย ๆ ไม่หวือหวา ตามคำว่า Ordinary แต่ก็หยิบคำว่า Mansion ที่บางทีเราพูดคำว่าแมนชั่น ก็จะคิดถึงความหรูหรา ความแกลม แบบแมนชั่นในแมนฮัตตัน เป็นพื้นที่ธรรมดาที่ซ่อนความพิเศษไว้ข้างในนั่นเอง
แม้ทางร้านจะไม่ได้เน้นกาแฟมากนัก เพราะเพื่อนบ้านของเขาก็เป็นคาเฟ่ที่ขายกาแฟอย่าง ENVIES Cafe อยู่ด้วย แต่ก็ยังจัดหาเมล็ดกาแฟที่ดีให้กับลูกค้าอยู่เสมอ โดยเลือกใช้ House Blend คั่วกลาง เราได้ลอง Honey Latte (110 บาท) ลาเต้ทางร้านเลือกใช้นมโอ๊ต เสริมความหอมด้วยน้ำผึ้งป่า ท็อปด้วยครีมชีสและมาร์ชเมลโล เป็นแก้วที่ดูเหมือนจะหวานแต่ไม่หวานมากจนเกินไป ครีมชีสช่วยให้บอดี้ของแก้วนี้แน่นขึ้น แต่ยังดื่มง่ายอยู่
ส่วนเครื่องดื่มกลุ่ม Non-Coffee ก็มีให้เลือกเยอะมาก ๆ ไม่แพ้กัน โดยคุณภูมิจะชอบครีเอตและปรับสูตรให้เข้ากับความชอบของลูกค้าโดยคุณเฟิร์น เราลองเป็น You Are The Yuzu Of My Eye (135 บาท) โดยชื่อก็ได้มาจากภาพยนตร์ไต้หวันเรื่องดังอย่าง You Are The Apple Of My Eye นั่นเอง ชาพีชกับยุสุไซรัป เติมความเปรี้ยวด้วยน้ำเลมอน แล้วนำไปเชคให้เข้ากัน เป็นอีกแก้วที่สดชื่น เปรี้ยวหวานลงตัว หอมทั้งพีชและยุสุไปพร้อมกัน
เพื่อให้สมกับเป็นคาเฟ่ที่มีบาร์ช่วงค่ำ จึงขอแนะนำอีกแก้วอย่าง La La Land (155 บาท) เครื่องดื่มแก้วสีม่วงคล้ายท้องฟ้าช่วงทไวไลต์ของฉากในโปสเตอร์จากภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน น้ำราสป์เบอร์รี่และพีช เติมรสชาติด้วย Single Malt และท็อปด้านบนด้วยอัญชันเลมอน คนให้เข้ากันแล้วดื่ม ได้มิติใหม่ ๆ ของเครื่องดื่ม และกลิ่นหอมของซิงเกิลมอลต์
นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ยังมีขนมและเบเกอรี่ที่น่าสั่งมาแกล้มคู่ด้วยอีกหลายตัว เราลองเป็น Mini Lemon Curd (85 บาท) บัตเตอร์เค้กเนื้อแน่น ร่วน ๆ กรอบ ๆ ตัดกับเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวหวานลงตัว อีกชิ้นคือ Grand Marinier Cordon Rouge Choholate Ganache (135 บาท) ช็อกโกแลตกานาจที่ใส่ Grand Marinier รสไม่หวาน เนื้อมูสนุ่มละมุน
ตอนกลางคืนที่แปลงร่างเป็นบาร์แล้ว ต้องบอกว่าที่นี่จะมีทั้งดีเจมาเปิดแผ่น และแบนด์ต่าง ๆ มาเล่นดนตรีสดอยู่เรื่อย ๆ ด้วยนะ กับซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่มีให้เลือกถึง 7 ตัว รวมถึงอาหารต่าง ๆ ให้ฝากท้องเช่นกัน นี่จึงเป็นแมนชั่นเล็ก ๆ แต่ความสนุกสุดยิ่งใหญ่ ที่สามารถมาได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเลยล่ะ
The Ordinary Mansion
คาเฟ่เปิดพฤหัสบดี – อาทิตย์ เวลา 10:00 – 18:00 น.
บาร์เปิดวันศุกร์ – อาทิตย์ เวลา 18:00 – 24:00 น.
ซอยสาธุประดิษฐ์ 41 ช่องนนทรี ยานนาวา
BTS ข่องนนทรี แล้วต่อแท็กซี่ | ไม่มีที่จอดรถ