The Fig Lobby จากตึกเก่ากว่า 30 ปีย่านคลองเตย สู่ โรงแรมสีจี๊ด สุดป๊อป ราวกับเป็น Art Museum ที่พักค้างคืนได้

ภาพจำของชุมชนคลองเตย ในสายตาคนนอกอย่างเรา มักจะได้ยินว่าชุมชนคลองเตยคือชุมชนแออัด ที่เต็มไปด้วยปัญหา ทั้งอันตรายและน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วคนในชุมชนเองมองว่า คลองเตย ไม่ได้เป็นอย่างนั้น และยังมีเสน่ห์อีกหลายแง่มุมที่หลายคนไม่รู้ อย่างที่คุณพลอย-ชาลิสา เตียนโพธิทอง หนึ่งในผู้ที่อยู่ในละแวกนี้ก็เชื่อว่า คลองเตยไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และตัดสินใจรีโนเวทตึกเก่าในย่านนี้ ให้เป็นโรงแรมสีสันสุดจี๊ด ชื่อว่า The Fig Lobby

ใครที่ผ่านถนนริมทางรถไฟปากน้ำ เส้นคู่ขนานพระราม 4 ช่วงคลองเตย ต้องมีสะดุดตากับสิ่งก่อสร้างหนึ่งที่มีสีจัดจ้าน ด้านนอกมีเสารูปทรงกลมอ้วน ๆ ดูแปลกตาจนต้องเหลียวมอง ตึกสีจัดที่เราเห็นนั่นแหละ คือโรงแรม The Fig Lobby เราได้มีโอกาสคุยกับ คุณป๊อก – จิรวัฒน์ ปิยจินดาวงศ์ The Fig Lobby Manager ถึงคอนเซปต์ในการทำโรงแรมที่ฉีกแนวขนาดนี้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

โรงแรม The Fig Lobby มีคุณ พลอย-ชาลิสา เตียนโพธิทอง เป็นเจ้าของ และนั่งแท่น Managing Director ออกไอเดีย ดีไซน์ และสร้างแบรนด์นี้ด้วยตัวเอง คุณป๊อกเล่าให้เราฟังว่า การเปิดโรงแรมเป็นแพชชั่นส่วนตัวของคุณพลอยเอง เธอเป็นคนชอบโรงแรมตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาไปเที่ยวที่ไหนจะคอยสังเกตล็อบบี้โรงแรมอยู่เสมอ ซึมซับการตกแต่ง Elements ต่าง ๆ ที่มี แค่อยู่ในล็อบบี้ก็มีความสุข

ความชื่นชอบโรงแรมนี้ ทำให้คุณพลอยเลือกเรียนปริญญาตรีด้านการโรงแรมโดยตรงเลย และต่อยอดเรียนต่อด้านโรงแรมโดยเฉพาะถึงสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านการเรียนรู้งานโรงแรมมาแล้วหลายแห่ง จนกระทั่งได้ทำงานเกี่ยวกับ Consulting ด้านธุรกิจโรงแรมเป็นเวลาหลายปี

ซึ่งตึกที่เป็นโรงแรม ณ ปัจจุบันนี้ เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวคุณพลอยเอง (ในซอยนี้มีทั้งอพาร์ตเมนต์มหาสิน และร่มโพธิ์แมนชั่น) พอมีโอกาสเหมาะ ๆ เธอเลยเลือกตึกข้างอพาร์ตเมนต์มหาสิน มาจัดการรีโนเวทเป็นโรงแรมในแบบที่ตั้งใจ

ที่เลือกรีโนเวทตึกเก่า แทนที่จะสร้างที่ใหม่ ส่วนหนึ่งเพราะเธอเติบโตมาในชุมชนละแวกนี้ และรู้ดีว่าคลองเตยมีเสน่ห์ เลยตั้งใจทำโรงแรมให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ให้คนได้มาเข้าใจ และสัมผัสกับเสน่ห์ของชุมชนคลองเตยจริง ๆ และยังเลือกหยิบสีจากชุมชน อย่างสีสันของหลังคา ตึก กำแพง มาหยอดใส่โรงแรมเพื่อ Represent ความเป็นชุมชนย่านคลองเตยด้วย

อีกหนึ่งประเด็นที่เราอยากจะเล่าก่อนจะไปพาทัวร์โรงแรมสุดป๊อปนี้กัน คือแนวคิดหลักในการทำโรงแรมที่ค่อนข้างน่าสนใจ แบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลัก ๆ คือ หนึ่ง Community หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของชุมชนอย่างที่เล่าไป และสอง คือ Sustainability หรือความยั่งยืน คุณพลอยเลือกที่จะรีโนเวทตึกเก่าอายุมากกว่า 30 ปี ที่หลายคนอาจคิดว่าในแง่ธุรกิจทำเงินไม่ได้แล้ว เก็บโครงสร้างเดิมแล้วต่อยอดให้มี Value ในรูปแบบที่ดีขึ้นกว่าเดิม ให้ตึกนี้ยังคงอยู่ต่อไป

และสาม คือ Inclusivity ความเป็นโรงแรมที่เปิดกว้างกับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ได้ตัดสินว่าเป็นใครมาจากไหน ทุกคนสามารถมาเอนจอยกับความเป็น Art Hotel ของที่นี่ได้ เหมือนกับศิลปะที่ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดสีสันนั่นเอง

และที่โรงแรมยังเป็น Pet Friendly ด้วยนะ นอกจากจะเปิดรับทุกคน ยังเปิดรับน้องหมาน้องแมวด้วย สามารถเข้าพักได้ทุกชั้น โดยไม่จำกัดไซซ์เลย 

ความอาร์ตของที่นี่ คือมีการทำงานร่วมกับศิลปินด้วย อย่างงานเพนท์กระจกที่เราเห็น ครีเอตโดยศิลปินชื่อ Tua Pen Not มาเพนท์ทั้งกระจก เก้าอี้ ตู้ไอศกรีม โซฟา สร้างสีสันและความยูนีคให้กับโรงแรมไม่น้อยเลย และภาพศิลปะต่าง ๆ ที่วางไว้ รวมถึงลายเพนท์บนกำแพงชั้นรูฟท็อป ก็ครีเอตโดยศิลปินชื่อ Lounys จากปารีส นอกจากนี้ก็ยังเปิดโอกาสให้ Artist คนอื่น ๆ ที่สนใจ มาครีเอตกิจกรรมหรือวางชิ้นงานที่ล็อบบี้ได้เช่นกันนะ

ที่เห็นว่ามีตู้ไอศกรีม ก็เพราะว่า นอกจากที่นี่จะมี Welcome Drink คอยต้อนรับแล้ว (เก็บไว้ใช้กับรูฟท็อปได้นะ) ยังมี Welcome Dessert เป็นไอศกรีมโฮมเมด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของคุณพลอยเอง มีหลายรสชาติให้เลือกมาก ๆ และยังมีอีกหนึ่ง Benefit ที่หลายคนน่าจะเลิฟสุด ๆ ก็คือ Breakfast ที่นี่เสิร์ฟถึง 4 โมงเย็น ไม่ว่าจะดื่มหนัก แฮงก์ตื่นไม่ไหวแค่ไหน ยังไงก็ทันอาหารเช้าอยู่ดี

พาทัวร์ โรงแรมสีสันสุดจี๊ด ที่มี Room Type สุดแนว

สีสันด้านนอกโรงแรมที่ว่ามากแล้ว เมื่อเข้ามาในล็อบบี้ มีอึ้งกันไปพักหนึ่งแน่ ๆ เพราะล็อบบี้ที่นี่ เต็มไปด้วยงานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์แปลกตา เสารูปทรงแปลก และสีสันที่เต็มกำแพงลามไปถึงเพดาน คุณป๊อกบอกเราว่า คอนเซปต์ของ The Fig Lobby คือไม่มีคอนเซปต์ ตั้งใจเป็น Free Form Art ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอด

สำหรับชั้น 1 นอกจากจะมีล็อบบี้คอยต้อนรับอยู่แล้ว ด้านหนึ่งยังมีห้องอาหารชื่อ Art Restaurant เป็นห้องอาหาร All day dining ของโรงแรมเอง เสิร์ฟเมนูสไตล์ฟิวชั่น Asian mixed Western ตั้งแต่ 07:00 – 22:00 น. 

อีกฝั่งจะเป็นสปา ที่ชูคอนเซปต์ ศาสตร์จักระทั้ง 7 เป็นศาสตร์อินเดียเก่าแก่ คอยให้บริการ พื้นที่ชั้น 1 ยังมีพื้นที่ให้เช่า ซึ่งตอนนี้มีสตูดิโอของ Sanit Handmade เวิร์คช็อปปั้นเซรามิกเช่าอยู่ ซึ่งแก้วหรือภาชนะต่าง ๆ ในห้องพักก็มาจาก Sanit ด้วยนะ

ขยับไปที่ชั้น 2-5 เป็นห้องพักทั้งหมด มีทั้งหมด 68 ห้อง แบ่งออกเป็น 3 ไซซ์ คือ Superior ขนาด 35 ตร.ม. Deluxe ขนาด 50 ตร.ม. และ Suite ขนาด 70 ตร.ม. เอกลักษณ์ของ The Fig Lobby คือ มี Room Type ที่แตกต่างกันถึง 8 แบบตามธีมหรือเฉดสีในห้อง แน่นอนว่าความอาร์ตมีไปถึงในห้องพักเลย

ต้องบอกว่าออกแบบตึกนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวออสเตรียที่อยู่ในประเทศไทย ส่วนดีเทลเล็ก ๆ อย่าง Art Item, Amenities เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงสีของโถสุขภัณฑ์ เป็นไอเดียของคุณพลอยทั้งหมด

“รูปแบบการตกแต่ง เดิมที Owner เราเป็นคนชอบสีสันอยู่แล้ว เลยตั้งใจสร้างเป็น Art Museum ที่พักค้างคืนได้ การออกแบบสีสัน รูปทรงต่าง ๆ เป็นแนว Art Exhibition รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ในโรงแรมเป็น Useful Art ด้วย อย่างโทรศัพท์ หรือข้างของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ดูเหมือนงานศิลปะ แต่จริง ๆ ใช้ได้จริงทั้งหมด”

ความพิเศษคือทุกห้องไม่ว่าจะไซซ์ไหน จะมีระเบียงและที่นั่งด้านนอกให้ออกไปนั่งพักผ่อนรับลมสบาย ๆ อีกหนึ่งความพิเศษคือ Amenities ที่มีคอนเซปต์คือพรีเซนต์ความเป็นไทย นำอะไรที่ไม่มีขายในต่างประเทศมาวาง อย่าง “CHAIYAPHUM” เหล้ารัมจากชัยภูมิ Shopping Bag สีสันแบบไทย ๆ หรือสลิปเปอร์ที่แตกต่างจากที่อื่น คือใช้รองเท้าแตะช้างดาว และเลือกสีให้แมทช์กับสีห้อง

ด้วยความที่คุณพลอย ให้ความสำคัญกับรูปรสกลิ่นเสียงในโรงแรม ‘เพลงต้องดี กลิ่นต้องหอม เสียงเพราะหู ตามองแล้วเพลิน’ แต่ละห้องเลยตั้งใจให้มีไฟ RGB Light ติดไว้ที่หัวเตียงและรางม่าน ให้ผู้เข้าพักสามารถเปลี่ยนบรรยากาศโดยรวมของห้องได้ อีกทั้งสบู่ แชมพู ยังสั่งผสมพิเศษ มีกลิ่น Masculine และ กลิ่น Feminine ที่มีความหอมเฉพาะตัว

แต่ละห้องก็จะมีชื่อแตกต่างกัน ตามเฉดสี อย่างห้องแรกที่เราได้มีโอกาสเข้าไปดู ห้องแรกคือ The Stripe Yin Superior (เริ่มต้น 1,700 บาท/คืน) ห้องขนาด 35 ตร.ม. ที่มาพร้อมเตียงคู่ โทนสีห้องเป็นชมพู-ม่วงพาสเทล แซมด้วยสีเหลือง ความเก๋คือโถสุขภัณฑ์ก็เป็นสีชมพูพาสเทลไปด้วย มาพร้อมฝักบัวแบบ Rain Shower 

ถัดมาเป็น Shade of Orange Deluxe (เริ่มต้น 2,500 บาท/คืน) ห้องขนาดกลางที่มีพื้นที่มากขึ้นกว่าเดิม รู้สึกสบายตามากขึ้นกว่าเดิม มาพร้อมเตียงคิงไซซ์ ห้องนี้เป็นสีโทนโอลด์โรส คุมโทนได้อย่างน่ารัก ทั้งผนัง โต๊ะทำงาน ไปจนถึงผ้าม่านเลย

มาทั้งที เราขอเชียร์ให้พักที่ห้องไซซ์ Suite ไปเลย เพราะด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 70 ตร.ม. แบ่งสัดส่วนพื้นที่ได้ค่อนข้างดี และมีฟังก์ชันการใช้งานที่ครบเครื่องกว่า ซึ่งเราได้แวะห้อง Suite ถึง 2 ห้อง 2 ธีม บอกเลยว่าดีทั้งคู่

ห้องแรก Red Room Suite (เริ่มต้น 3,700 บาท/คืน) ห้องธีมสีแดงลายเสือดาว เป็นสีแดงตุ่น ๆ เหมือน Red Wine มีบาร์ขนาดย่อม ๆ ให้นั่งดริงก์ชิลล์ ๆ พร้อมโซฟาตัวใหญ่ และเตียงทรงกลมขนาดใหญ่ Mood and Tone ห้องนี้จะมีความเซ็กซี่ น่าค้นหาแตกต่างจากห้องสีสันสดใสอย่างที่ผ่านมา

สำหรับห้องสวีทจะมีอ่างอาบน้ำด้วยนะ เป็นอ่างแบบลอยตัวสีแดงตุ่นแมทช์กับห้องและผนังสีแดงสด ความดีงามของห้อง Red Room คือห้องน้ำใหญ่มาก! มีสเปซค่อนข้างเยอะเลย

ห้องสวีทอีกหนึ่งห้องที่เราได้แวะไปดู คือ Fig Jungle Suite (เริ่มต้น 3,700 บาท/คืน) เป็นห้องธีมสีเขียวที่มาพร้อมบาร์ และเตียงทรงกลมขนาดใหญ่เช่นกัน แต่ห้องนี้มีความแตกต่างตรงที่แบ่งโซนค่อนข้างชัดเจน คือมีห้องนั่งเล่น แยกกับโซนห้องนอนไปเลย ดูเป็นแนว Family Room มากขึ้น และห้องนี้ยังเอาอ่างอาบน้ำไปไว้ที่ระเบียงด้วย

อีกหนึ่ง Room Type ของที่นี่นอกจากจะมีห้องสีแพนโทนอย่างที่เราเล่าให้ฟัง ยังมี Room Type ที่ได้ชื่อว่า The Artist แบ่งตามไซซ์ M/L/XL (ก็คือ Superior, Deluxe และ Suite นั่นแหละ) ห้องธีม The Artist จะเน้นไปที่สีสันที่จัดจ้านแบบแม่สี ก็คือมีสีจัด ๆ ไม่พาสเทลแล้ว และยังอยู่บนชั้นที่สูงกว่าเพื่อนด้วย

เราชอบห้อง The Artist XL Suite (เริ่มต้น 3,500 บาท/คืน) เปิดประตูเข้ามาก็เจอเคาน์เตอร์บาร์ก่อนเลย หันขวาจะเจอกับซุ้มโค้งสีเหลืองสด ที่มองลอดเข้าไปจะเจอกับโซนนั่งเล่นมีโซฟาเบาะนุ่ม ทีวีติดผนัง ข้างกันมีเตียงกลมขนาดใหญ่หัวเตียงสีเหลือง เข้ากับผนังลายสีเหลืองสุดจี๊ด

หันไปฝั่งโต๊ะทำงานจะเจอกับผนังสีส้มสด แซมด้วยสีเขียวของต้นไม้ พร้อมโคมไฟสีเหลืองจัด ๆ แขวนจากเพดาน มองรวม ๆ แล้วสีสันจัดจ้านแต่ไม่ถึงกับแสบตาและอึดอัด สมกับเป็นห้อง The Artist 

ส่วนห้องน้ำเลือกเป็นกระเบื้องแผ่นเล็ก โซนอาบน้ำมีทั้งสีเหลือง น้ำเงิน และเขียว พร้อมทำหน้าต่างเล็ก ๆ เพิ่มช่องแสง และเอาไว้นอนแช่อ่าง มองเมฆที่เคลื่อนตัว เปลี่ยนฟอร์มไปเรื่อย ๆ เหมือนกับวงกลมนี้เป็นแคนวาสของศิลปิน

Let’s sip, dine and chill!

อย่างที่บอกว่าที่ The Fig Lobby มีห้องอาหาร All day dining ชื่อว่า Art Restaurant อยู่ในโซนเดียวกับล็อบบี้เลย การตกแต่งจัดจ้านไม่แพ้กัน ที่นี่ได้เชฟโต๋ เชฟผู้ที่คร่ำหวอดในวงการอาหาร และเคยอยู่ในเครือโรงแรมชั้นนำมาก่อน (และยังเคยได้รางวัลมิชลินด้วยนะ) มารังสรรค์เมนูต่าง ๆ เสิร์ฟในสไตล์ Western Fusion ที่หน้าตาเหมือนฝรั่งแต่รสชาติออกความเป็นไทย 

เราได้ลอง มัสมั่นเนื้อโรตี (320 บาท) เป็นมัสมั่นเนื้อแก้มวัวที่นำไปตุ๋นในหม้อแรงดันนานถึง 4 ชั่วโมงทำให้มีความนุ่ม ละมุน เสิร์ฟมาพร้อมแป้งโรตีคล้ายแกงอินเดีย แต่รสชาติมีความไทย รสจัดจ้าน 

อีกเมนูเป็น ข้าวซอยไก่ (180 บาท) เมนูขึ้นชื่อทางภาคเหนือของไทย ที่เชฟทำน้ำซุปเองทั้งหมด ความพิเศษคือปรับสูตรให้มีความจัดจ้านมากยิ่งขึ้น มาพร้อมเส้นเหนียวนุ่มและน่องไก่ชิ้นโต

เมนูไฮไลต์จากเชฟโต๋ ต้องลอง Chef Totte’s Micheline Guide Dessert (180 บาท) เมนูขนมหวานหน้าตาสวย เป็นวานิลลาที่นำไปตีให้เป็นกึ่งมู้ดกึ่งเซมิเฟรดโด้เนื้อเนียน หวานนิด ๆ ท็อปด้วยชินาม่อนครัมเบิ้ลและฟรุตสลัดช่วยตัดรส

นอกจากห้องอาหารนี้ ที่โรงแรมยังมีรูฟท็อปขนาดใหญ่ ที่เห็นวิวได้แบบพาโนราม่า เป็นวิวโล่ง ๆ แบบไม่มีตึกสูงมาบัง ทำให้รับลมได้แบบเต็ม ๆ มีที่โต๊ะที่นั่งรองรับค่อนข้างเยอะ และยังมีโซน Bean Bag ให้นอนเอกเขนกกันได้แบบชิล ๆ เลย

ด้านบนจะเน้นที่เครื่องดื่ม ส่วนเมนูอาหารต่าง ๆ ที่เสิร์ฟบนรูฟท็อปก็จะมาห้องอาหาร Art Restaurant นะ ใครที่อยากได้เมนูเบา ๆ กินแกล้มเครื่องดื่ม ก็มีร้านอาหารเม็กซิกันที่เป็นพาร์ทเนอร์กับทางโรงแรมมาเป็นตัวเลือกให้อีกทาง

ใครอยากเสพงานอาร์ต สัมผัสประสบการณ์โรงแรมสุดแหวกแนว ลองเลือกสักห้องแล้วมาพักกันได้ ไม่ว่าจะ Room Type ไหน ก็ประทับใจแน่ ๆ หรือจะแค่มาชิลล์รูฟท็อป กินดื่มที่ห้องอาหารก็ Walk-in เข้ามาได้เช่นกันนะ

The Fig Lobby
ห้องพักเริ่มต้นที่ 1,700 บาท
สำรองห้องพักที่ https://www.thefiglobby.com/
ถนนริมทางรถไฟปากน้ำ (คลองเตย)
MRT ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (มีรถรับ-ส่ง) | มีที่จอดรถ
Google Maps