อีกหนึ่งประเทศที่หลายคนชอบไป (และหลายคนก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่) ก็คือ สิงคโปร์ นี่แหละ ส่วนตัวเราเองไปสิงคโปร์ค่อนข้างบ่อย เพราะใกล้กับประเทศไทย เดินทางแค่แป๊บเดียว แถมยังอัดแน่นไปด้วยความเจริญที่เราเองก็หวังจะได้เห็นบ้านเมืองของเราเป็นแบบนี้บ้าง แต่บางคนก็อาจจะไม่จอยกับเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น อีกอย่างคือคิดไม่ออกว่า แล้วถ้าจะไปสิงคโปร์ ประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ อาหารอร่อยและโดดเด่นของเขาคืออะไร
แต่ความจริงเรารู้กันดีว่า ความสนุกอีกหนึ่งของการไปสิงคโปร์ คือการตะลุยชิมอาหารในศูนย์อาหารที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ หรือที่เรียกว่า Hawker (ฮอว์กเกอร์) บางที เพชรเม็ดงามก็อาจซ่อนตัวอยู่ในฮอว์กเกอร์ หรือตามตรอกซอกซอยก็ได้นะ! และนี่คือ 10 ร้านอาหารที่เราได้ไปลองมาแล้ว และอยากแชร์ให้ไปลองกันต่อ (ซึ่งแต่ละคนมีรสที่ชอบต่างกัน ลิ้นของเราก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นความอร่อยเป็นเรื่องส่วนบุคคล เราแค่แวะมาแชร์ให้ได้รู้นะ)
ส่วนใครที่อาจยังไม่มีแพลนไปสิงคโปร์เร็ว ๆ นี้ แต่มีแพลนไปไต้หวันอยู่ล่ะก็ ลองดูลิสต์ 9 ร้านชาไข่มุกที่เราได้ไปลองมาแล้ว เผื่อได้ไอเดียเพิ่มเติมกันน้า
88 ROAST MEAT SPECIALIST
ร้านแรกที่เราอยากพาไปทำความรู้จักไม่ได้อยู่ใน Hawker ไหน แต่เป็นร้านแบบ Stand Alone ที่ตั้งอยู่บนถนน Lavender ที่ชื่อ 88 Roast Meat Specialist ที่นี่เป็นร้านอาหารฮ่องกงที่โดดเด่นในเรื่องของอบตามชื่อร้าน ทั้งเป็ดย่าง หมูแดง และหมูกรอบ รวมถึงบะหมี่ เกี๊ยว อาหารเช้าสไตล์ฮ่องกง และติ่มซำเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย โดยทางร้านเองก็เพิ่งได้รับรางวัล Singapore Best Food ในระดับ 5 ดาวมาเมื่อปีที่แล้ว จึงต้องขอลองสักหน่อย
เราสามารถสั่งได้เป็นทั้งแบบราดข้าว กับแบบแยกจานโปรตีนกับข้าวออกจากกัน ขนาดของจานก็สามารถเลือกได้ตามจำนวนผู้กิน โดยทางร้านจะแจ้งไว้ให้แล้วว่า ขนาดของจานไหน เหมาะกับกินกี่คน เราสั่งเป็นจานขนาด 2-3 คน และรวมมาหมดทั้งเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ กับข้าวสวย ทางร้านจะราดน้ำหมูแดงใส่มาในจานข้าวสวย ไม่ได้ราดลงจานเนื้อ ตัวน้ำซอสมาคล้ายซอสเฉโป คือสามารถราดกับหมูแดง-หมูกรอบ หรือราดกับเป็ดย่างก็ได้ แต่สำหรับคนไม่ชอบกินหวาน ตัวซอสอาจจะหวานเกินไปหน่อย (ส่วนสายหวานอย่างเรากำลังดีเลย) ในจานยกให้หมูแดงโดดเด่นที่สุด ทางร้านอบหมูแดงมาแบบฉ่ำ ๆ ชิ้นหนา ผิวด้านนอกมีความเกรี้ยม ๆ ไหม้ ๆ เล็กน้อย และเคลือบไปด้วยซอสน้ำผึ้งที่หวาน (อีกแล้ว) แต่อร่อยดีมาก ยิ่งกินกับพริกน้ำส้มยิ่งเข้ากัน ส่วนหมูกรอบหนังบางกรอบ มีชั้นไขมันแบบ Juicy แทรกอยู่ ถือว่ามาตรฐาน และเป็ดย่างที่เนื้อค่อนข้างแห้งไปหน่อย แต่หนังเป็ดอบมาได้กรอบดี สำหรับเรามาร้านนี้ไม่อยากให้พลาดหมูแดงเลย
เปิดทุกวัน (เว้นวันอาทิตย์) 11:15 – 20:00 น.
ถนนลาเวนเดอร์ MRT Bendemeer หรือ Boon Keng แล้วเดินต่อ
TIAN TIAN HAINANESE CHICKEN RICE
อีกหนึ่งร้านที่เหมือนจะกลายเป็นแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะมาเช็กอิน (และชิม) ทุกครั้งที่มาสิงคโปร์ไปแล้ว จริง ๆ แล้วที่สิงคโปร์มีร้านข้าวมันไก่กระจายอยู่เยอะมาก ๆ พูดง่าย ๆ คือทุก Hawker จะต้องมีร้านข้าวมันไก่อยู่อยางน้อย 1 ร้าน แต่เราก็ยังยกให้ Tian Tian Hainanese Chicken Rice เป็นหนึ่งร้านข้าวมันไก่สิงคโปร์ (แต่ชื่อร้านว่าไหหนานนะ) ที่ควรค่าแก่การแวะเวียนมาชิมอยู่ดี
ที่นี่เขาจะมีทั้งข้าวมันไก่ต้ม และข้าวมันไก่อบ โดยมีขนาดให้เลือกทั้งจานเล็ก (เฉพาะไก่อบเท่านั้น) จานกลาง และจานใหญ่ หรือจะสั่งแยกเป็นไก่สับ กับข้าวมันมาก็ได้ สามารถเลือกส่วนของเนื้อไก่ได้ ทั้งอก สะโพก และน่อง (เช็กราคาดูอีกทีนะ) นอกจากนี้ยังมีจานเคียงทั้งผัก ไข่ต้ม หรือเครื่องในไก่ ความแตกต่างของข้าวมันไก่สิงคโปร์กับบ้านเราคือเขาจะมีน้ำราดคล้ายน้ำเกรวี่ลงไปด้วย เพิ่มรสชาติเค็ม ๆ นัว ๆ ได้อีก ตัวไก่มาแบบชิ้นหนา ๆ ไม่มีตบให้แบน แม้จะเป็นอกไก่แต่ก็ไม่แห้งเลย เนื้อนุ่ม หนังค่อนข้างหนา แต่แยกชั้นกับเนื้ออย่างง่าย ใครไปกินหนังไก่ก็เอาออกสบาย ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มพริกน้ำส้มที่เผ็ดเปรี้ยวก็อร่อยเข้ากัน ส่วนใครไม่ชอบเผ็ดก็ขอซีอิ๊วหวานได้ เรียกว่าเป็นจานง่าย ๆ ที่ฝากท้องได้ดีทีเดียว
เปิดทุกวัน (เว้นวันจันทร์) 10:00 – 19:30 น.
ศูนย์อาหาร Maxwell Food Centre ชั้น 1 ห้อง #01-10/11
MRT Maxwell
LAU PA SAT SATAY
อีกหนึ่งอาหารที่ไปสิงคโปร์แล้วควรลอง นั่นคือสะเต๊ะนั่นเอง ทั้งนี้เราอาจจะหาสะเต๊ะที่เป็นหมูได้ยากสักหน่อย เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ขายสะเต๊ะมักจะเป็นฮาลาล สะเต๊ะส่วนใหญ่ที่นี่จึงเป็นเนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อแพะ หรือเป็นซีฟู้ดไปแทน และเมื่อพูดถึงสะเต๊ะก็ต้องไป Satay Street ที่รวมร้านสะเต๊ะเอาไว้แบบย่างกันควันโขมงกลางย่านเศรษฐกิจอย่างศูนย์อาหาร Lau Pa Sat นั่นเอง
ที่จริงแล้ว Lau Pa Sat เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง แต่บริเวณ Satay Street จะเปิดเฉพาะช่วงค่ำไปจนถึงตี 1 เท่านั้น (อย่าเผลอไปตอนกลางวันเชียวล่ะ) มีร้านสะเต๊ะให้เลือกกันมากมาย แต่ร้านที่ลูกค้าเข้าเยอะ ๆ จะเป็นร้านหมายเลข 7 และ 8 (เจ้าของเดียวกัน) ทางร้านจะมีสะเต๊ะที่จัดมาเป็นเซ็ตตามจำนวนคนกินไว้แล้ว โดยทุกเซ็ตจะได้ครบทั้งไก่ เนื้อ และกุ้ง เมื่อสั่งและชำระเงิน ก็จะได้เครื่องติดตามให้เราไปหาโต๊ะนั่งรอ (โต๊ะหายากเวอร์ ใช้เวลาหาโต๊ะว่างค่อนข้างนาน เพราะบริเวณนี้มีขายเครื่องดื่มด้วย ทำให้หลายกลุ่มอาจนั่งดื่มกันยาวหน่อย) เมื่อเครื่องส่งเสียงดัง ก็ไปรับสะเต๊ะมาได้ สะเต๊ะของที่นี่จะมีน้ำจิ้มถั่วเหมือนบ้านเรา แต่ไม่มีน้ำจิ้มอาจาด รสชาติออกไปทางหวานเป็นหลัก ตัวไก่นุ่ม หมักเข้าเนื้อ ส่วนเนื้อยังมีเหนียวบ้างบางไม้ ที่ดีที่สุดน่าจะเป็นกุ้งที่มาตัวใหญ่ ๆ แกะเปลือกให้พร้อม มีรสออกเค็มเล็ก ๆ เนื้อแน่นไม่ยุ่ยเลย
เปิดทุกวัน 19:00 – 01:00 น. (เสาร์ – อาทิตย์เปิด 17:30 – 01:30 น.)
ศูนย์อาหาร Lau Pa Sat MRT Shenton Way / Downtown / Telok Ayer แล้วเดิน
LIAN HE BEN JI
ลองไปชิมข้าวอบหม้อดินกันบ้าง ที่ Lian He Ben Ji (เหลียนเหอเปิ่นจี) เป็นอีกร้านใน Hawker ที่ได้รับ Michelin Bib Gourmand ด้วย นอกจากข้าวอบหม้อดินแล้ว ยังมีอาหารอื่น ๆ ให้ได้สั่งด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เพราะทางร้านอบข้าวกันหม้อต่อหม้อ จึงต้องใช้เวลารออย่างน้อย 30 นาที (ขึ้นอยู่กับคิวในตอนนั้น) หากใครไปแบบหิวโซ แนะนำว่าไปฝากท้องที่อื่นก่อน เพราะเดี๋ยวจะโมโหหิวเอาได้
สำหรับชาวต่างชาติอย่างเรา พนักงานที่ร้านจะถามจำนวนคนที่จะกิน แล้วจะประเมินขนาดของหม้อให้เองเลย ซึ่งบอกตรงนี้ว่าขนาดจะมาใหญ่กว่าที่เราคิดไว้มาก หากเป็นคนไม่กินจุ บอกแจ้งพนักงานให้ลดมา 1 ไซซ์จากการประเมินของเขาก็ท่าจะดี ข้าวอบหม้อดินที่ใส่ไก่หมัก ปลาเค็ม และกุนเชียงมาด้วย ตอนจะกินให้คลุกทุกอย่างให้เข้ากัน (ไม่อย่างนั้นข้าวก้นหม้อจะไหม้) เติมซีอิ๊วดำลงไปเพิ่มตามใจชอบ ด้วยความคาดหวังเพราะมีมิชลินการันตี ทำให้เราผิดหวังนิดหน่อยกับรสชาติที่ค่อนข้างจืด ตัวข้าวแข็งไปเล็กน้อย ทีดีตรงที่ไก่นุ่ม ๆ กับปลาเค็มที่ไม่เค็มเกินไป (แต่ก็ทำให้ทั้งหม้อจืดไปหมดทุดอย่าง) ถึงอย่างนั้นร้านนี้ก็ยังเป็นร้านในดวงใจของใครหลายคน ดังนั้นต้องลองกันเองแล้วล่ะ
เปิดทุกวัน (เว้นวันจันทร์และพฤหัสบดี) 16:30 – 22:30 น.
ศูนย์อาหาร Chinatown Complex ชั้น 2 ห้อง #02-198-199
MRT ChinaTown
HONEYBEE
สิ่งหนึ่งที่กำลังบูมมาก ๆ ในสิงคโปร์ คือเราจะได้เจอร้านไอศกรีมมากมายที่นี่ ตั้งแต่ราคาประหยัดอย่าง Mixue ไปจนถึงไอศกรีมคราฟต์กันเลย ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นสวรรค์ของคนรักไอศกรีมอีกแห่งก็ว่าได้ โดย HONEYBEE ถือเป็นอีกหนึ่งร้านไอศกรีมที่มีคนแวะเวียนเข้า-ออก ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะที่ตั้งที่อยู่ใน Haji Lane ถนนคนเดินสุดฮิตสำหรับวัยรุ่นและสายแฮงก์เอาต์ด้วยก็ได้
ตามชื่อของร้านเลย ร้านนี้จุดเด่นอยู่ที่น้ำผึ้ง และรวงผึ้งที่นำมาใส่ในไอศกรีม มีรสชาติให้เลือกมากมาย ทั้งแบบที่มีรวงผึ้งและไม่มีรวงผึ้งเป็นส่วนประกอบ นอกจากไอศกรีมแล้วก็ยังมีเครื่องดื่ม และป๊อบคอร์นขายอีกด้วย จริง ๆ แล้วแบรนด์นี้มาจากมาเลเซียนะ ตัวไอศกรีมจะมาเป็นรสโยเกิร์ตคล้าย llao llao แต่เนื้อจะเป็นเกล็ดมากกว่า รองฐานด้วยคอนเฟลก ใส่รังผึ้งและไข่มุกสีทอง ราดน้ำผึ้งหอมหวานอีกนิด เรียกว่าชื่นใจคลายร้อนได้ แต่รังผึ้งที่วางบนไอศกรีม ทิ้งไว้นานก็อาจแข็งและเหนียวติดฟันอยู่หน่อย
เปิดทุกวัน 11:00 – 21:30 น. (วันศุกร์และเสาร์ปิด 22:00 น.
Haji Lane MRT Bugis แล้วเดิน
TONG AH EATING HOUSE
อีกหนึ่งอาหารที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ คืออาหารเช้าสไตล์โกปีเตี๊ยม (ที่มีให้กินทั้งวันทั้งคืน ไม่ใช่แค่ตอนเช้าเท่านั้น คนตื่นสายอย่างเราก็สบายใจหน่อย) จริง ๆ แล้วอาหารเช้าประเภทขนมปังทาเนยคายา (Kaya) เป็นอาหารท้องถิ่นที่มักหาได้ในคาบสมุทรมลายู ไม่ใช่แค่เฉพาะที่สิงคโปร์เท่านั้น โดยจะกินคู่กับไข่ลวก ชาหรือกาแฟ
ที่ TONG AH นอกจากขนมปังคายาที่มีให้เลือกถึง 4 แบบ ทั้งแบบออริจินัล ปิ้งมากำลังดีมีเนื้อให้เคี้ยว แบบกรอบ ปิ้งจนผิวขนมปังด้านนอกกรอบ ข้างในยังนุ่มอยู่เล็กน้อย แบบเฟรนซ์โทสต์ เนยฉ่ำ ๆ และแบบขนมปังนึ่ง ทางร้านยังจัดเป็นเซ็ตคอมโบให้เราสั่งแบบง่าย ๆ ได้กินครบตามแบบฉบับอาหารเช้าอีกด้วย โดยในเซ็ตจะประกอบไปด้วยขนมปัง (แต่ละเซ็ตขนมปังก็จะแตกต่างกันตาม 4 แบบที่บอกไปข้างต้น) ไข่ลวก 2 ฟอง และชา หรือกาแฟ ที่เลือกได้ว่าจะเอาร้อนหรือเย็น เราชอบที่ตัวคายาไม่หวานจนเกินไป และสั่งแบบเฟรนซ์โทสต์ เอามาจิ้มกับไข่ลวกก็อร่อยเข้ากันดี เพราะทางร้านจะแยกคายาออกมา ไม่ได้ทาลงไปในขนมปัง ส่วนตัวอื่นที่ทาคายามาแล้ว ถ้าจิ้มกับไข่ลวกจะไม่ค่อยเข้าเท่าไหร่ อีกอย่างที่ชอบคือซีอิ๊วที่ใส่ในไข่ลวก แม้จะสีดำเข้ม (จนตกใจว่าเค็มแหง) แต่กลับรสเค็มอมหวาน นัว ๆ นิดหน่อย กลมกล่อมกำลังดีเลยล่ะ
เปิดทุกวัน 07:00 – 22:00 น. (วันพุธปิด 02:00 น.)
MRT Outram Park แล้วเดิน
BIRDS OF PARADISE
ขอสลับมาที่ไอศกรีมเจลาโต้สักหน่อย ต้องบอกว่าตอนนี้ประเทศสิงคโปร์ถือเป็นสวรรค์ของคนรักไอศกรีม เพราะอยู่ ๆ เทรนด์ไอศกรีมก็ฮิตที่นี่ และมีร้านไอศกรีมดี ๆ ผุดขึ้นให้เราได้ลองมากมาย หนึ่งในนั้นคือ BIRDS OF PARADISE ร้านไอศกรีมเจลาโตที่มีหลายสาขาในสิงคโปร์ ที่สำคัญร้านนี้อยู่ใน Singapore Michelin Guide อีกด้วยนะ
เราไปลองที่สาขาถนนเครก เพราะตัวร้านน่ารักอย่าบอกใคร ด้านนอกยังคงรูปลักษณ์อาคารเดิม แต่ด้านในถูกปรับให้โมเดิร์นมากขึ้น ด้วยการสร้างเป็นโถงลึกเข้าไปแบบไร้เหลี่ยมมุมคล้ายถ้ำ (ที่เรียบ) เปลี่ยนเป็นโทนสีขาวสบายตา บริเวณที่นั่งด้านหลังมีห้องทำโคนและวาฟเฟิลที่โชว์การทำให้เราได้ดูด้วย ตัวไอศกรีมโฮมเมดคุณภาพดี มีรสชาติแปลก ๆ ให้เราได้ลองเยอะ ทั้งฝั่งไอศกรีมซอร์เบต์ และเบสนม เริ่มต้นที่ลูกละ 5.50 ดอลลาร์ (ประมาณ 140 บาท) สำหรับรสชาติพิเศษจะบวกเพิ่มอีก 1 ดอลลาร์ เราได้ลองหลาย ๆ รสแล้วพบว่าอร่อยมาก ตัวไอศกรีมค่อนข้างหวาน แต่ไม่หวานจนเกินไป เนื้อเหนียวกำลังดีและเนียน ๆ ไม่เป็นน้ำแข็ง เป็นเนื้อไอศกรีมแบบที่เราชอบและคิดว่าเป็นอีกหนึ่งร้านที่ไม่ควรพลาดชิม
เปิดทุกวัน 12:00 – 22:00 น.
MRT Maxwell แล้วเดิน
SWEE CHOON
เมื่อสิงคโปร์เองก็มีคนจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก การจะหาอาหารจีนดี ๆ สักมื้อก็เป็นเรื่องที่ควรทำ และนี่คือร้าน (ที่ว่ากันว่า) ติ่มซำอร่อยที่สุดในสิงคโปร์ Swee Choon (อ่านว่า เล่ชวน) เป็นร้านติ่มซำสไตล์เซี่ยงไฮ้ที่เปิดมามากกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ตัวร้านก่อนหน้านี้มีเพียง 1 คูหา แต่ด้วยความฮอตฮิตเลยต้องขยายพื้นที่ด้วยการซื้อคูหาเคียงข้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้ทั้ง 5 คูหาตรงนั้นก็เป็นของร้านนี้ทั้งหมด ทำให้เวลารอคิวน้อยลง อย่างตอนที่เราไปไม่ได้จองคิวล่วงหน้าไว้เลย และไปในเวลาประมาณ 21:00 น. ซึ่งไม่มีคิวและได้โต๊ะทันที
ที่นี่จะสั่งอาหารผ่านมือถือด้วยการแสกน QR Code ทำให้ค่อนข้างสะดวก เมนูมีตั้งแต่ซาลาเปา ขนมจีบ ฮะเก๋า ไปจนถึงพวกติ่มซำทอด เราลองสั่งทั้งซาลาเปาไข่เค็มลาวา, ขนมจีบกุ้ง, เสี่ยวหลงเปา และเกี๊ยวพริกเสฉวน ต้องอบกว่าทุกจานทำได้ดี ซาลาเปาใส่เยิ้ม รสชาติเข้มข้น เสี่ยวหลงเปาแม้แป้งจะหนาไปนิดแต่ไส้อร่อย ขนมจีบกุ้งเนื้อเด้ง ๆ ใส่กุ้งตัวเล็ก ๆ เข้าไปด้วย และเกี๊ยวพริกเสฉวนคือ 5 ดาวเลย ที่ผิดหวังน่าจะเป็นน้ำเก๊กฮวยที่แทยไม่ได้รสชาติของเก๊กฮวย และความหอมก็แทบไม่มีมากกว่า
เปิดทุกวัน (เว้นวันอังคาร) 09:00 – 15:00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์เปิดถึง 16:00 น.) และ 18:00 – 03:00 น.
MRT Farrer Park / Rochor แล้วเดิน
BEACH ROAD SCISSOR-CUT CURRY RICE
ไม่ไกลจากร้าน Swee Choon ในระยะที่เดินมาประมาณ 5 นาทีก็ถึง ยังมีร้านข้าวแกงกะหรี่สไตล์ไหหนานที่คนสิงคโปร์หลายคนบอกว่าอร่อยและควรไปลอง ซึ่งนักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยแวะเวียนไปเท่าไหร่นัก ความพิเศษของที่นี่คือให้เยอะแบบจ้นจาน ท็อปปิ้งทุกอย่างจะถูกตัดด้วยกรรไกร (จึงเป็นที่มาของชื่อร้าน) และราคาย่อมเยามาก ๆ
วิธีการสั่งคือให้เราเลือกท็อปปิ้งที่ตัวเองต้องการ มีตั้งแต่พอร์กชอป ไก่ทอด ปลาทอด เต้าหู้ ผัดผัก ไข่ต้ม และเนื้อสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย (ราคาต่างกันตามวัตถุดิบ) ทางร้านจะใช้กรรไกรจัดเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วโปะลงบนข้าวสวย (ขอบอกว่าใช้ข้าวหอมมะลิจากประเทศไทยด้วยนะ) จากนั้นจะราดน้ำซอสสีเข้ม ๆ คล้ายซีอิ๊วลงไปก่อน จึงตามด้วยแกงกะหรี่ ที่จริง ๆ แล้วจะออกแนวแกงบ้านเรา หรือคล้ายแกงกะหรี่นายโย่งที่เยาวราช ไม่ใช่แกงกะหรี่แบบญี่ปุ่น หากเป็นคนไม่กินจุ แนะนำให้สั่งจานเดียวแบ่งกันกิน ส่วนความอร่อยต้องยกให้เพราะอร่อยจริง ๆ ตัวแกงอาจไม่ได้รสจัดมาก แต่ถือว่ากลมกล่อมกำลังดีเลยล่ะ
เปิดทุกวัน 11:00 – 03:00 น.
MRT Farrer Park แล้วเดิน
NG AH SIO BAK KUT TEH
มาถึงร้านสุดท้าย จะพลาดอาหารขึ้นชื่อของสิงคโปร์อย่าง บักกุดเต๋ ไปได้อย่างไร และแม้ว่านักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนจะนึกถึงร้านดังอย่าง Song Fa ก่อนเสมอ แต่วันนี้ Routeen. ขอพาไปชิมร้านบักกุดเต๋ที่เก่าแก่กว่า 70 ปีอีกร้านหนึ่งของสิงคโปร์อย่าง NG AH SIO กัน
ต้องบอกว่าร้านนี้เป็นบักกุดเต๋สไตล์แต้จิ๋ว ซี่โครงหมูชิ้นใหญ่ ต้มในสมุนไพรและเครื่องเทศยาจีนกว่า 10 ชนิดจนเปื่อยนุ่ม ตัวซุปหอมสมุนไพรมาก ๆ และร้านนี้จะไม่เผ็ดร้อนพริกไทยมาก เราชอบที่เขาตุ๋นกระเทียมมาทั้งกลีบใหญ่ ๆ เนื้อเละกินง่ายและอร่อยสุด ๆ สำหรับคนชอบซดน้ำอย่างเรา บอกเลยว่านี่คือสวรรค์เพราะเขาเติมซุปฟรีตลอดเลยนะ อีกจานที่เราชอบคือฟองเต้าหู้ตุ๋นพะโล้ ตัวห้องเต้าหู้ไม่เละไม่แข็ง น้ำพะโล้มีรสเช็ง ๆ กำลังดี กินเปล่า ๆ ไม่เค็มจนเกินไป และที่นี่มีใบชาให้เลือกเยอะมาก ๆ เวลาเสิร์ฟจะเอาเตาแก๊สพร้อมกาน้ำร้อนมาตั้งให้เราเติมน้ำร้อนในกาได้เรื่อย ๆ ถูกใจคนรักชาอย่างเราเป็นที่สุด
เปิดทุกวัน 09:00 – 21:00 น.
MRT Farrer Park แล้วเดิน
นี่คือ 10 จานอาหารคาว-หวาน ที่สิงคโปร์ ที่เราได้แวะเวียนไปลองมาสด ๆ ร้อน ๆ กลางปี 2023 ที่ผ่านมา ส่วนถ้าใครมีร้านไหนนอกเหนือจากที่เราไปชิมแล้วอยากแนะนำให้ไปลองบ้าง ก็แชร์มาให้เรารู้บ้างนะ