แม้บ้านเราจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือฤดูร้อน ร้อนมาก และร้อนแบบโลกแตก (ไม่ใช่! ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงก็เถอะ) แต่เรารู้ ๆ กันว่า ช่วงฤดูใบไม้ผลิของประเทศอื่น ๆ เป็นช่วงแห่งสีสัน การเติบโต การผลิบานและเปล่งประกายของธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน สำหรับสายกินอย่างเราแล้ว นี่คือฤดูกาลของ “หน่อไม้ฝรั่ง” โดยเฉพาะจากฝรั่งเศส (French Asparagus) ที่รสชาติดีมาก ๆ จนต้องหาโอกาสลิ้มลองดูสักครั้ง ซึ่งตอนนี้ที่ Scarlett Wine Bar & Restaurant ชั้น 37 ของ Pullman Bangkok Hotel G เขากำลังมีเมนูไฮไลต์จาก French Asparagus นี้มาให้เราได้ลองชิม เฉพาะเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2566 นี้เท่านั้นนะ
จริง ๆ แล้วนี่คือการแวะมาที่ Scarlett Wine Bar & Restaurant ของเราอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้แวะมาพักใหญ่ ๆ เมื่อกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้น 37 ที่เป็นที่ตั้งของร้าน ก็ได้พบกับบรรยากาศที่คุ้นเคย งานตกแต่งแบบเรียบหรู เน้นโทนเข้มเคร่งขรึม ทั้งตัวเฟอร์นิเจอร์ เคาน์เตอร์บาร์ และที่นั่งต่าง ๆ แอบหยอดสีแดงตามสีของโลโก้เข้าไปสร้างมิติและช่วยเพิ่มความรู้สึกเซ็กซี่ให้บาร์และห้องอาหารแห่งนี้ได้มากขึ้น ตั้งแต่ภาชนะไปจนถึงสีเล็บของพนักงานในร้าน สุดท้ายคงต้องยกให้นางเอกของที่นี่อย่างวิวกรุงเทพฯ ที่จะนั่งอินดอร์ ก็สามารถมองเห็นได้ผ่านกระจกบานใหญ่ทั้งแผง หรือจะออกไปโซนระเบียงเอาต์ดอร์รับลม และเทควิวกรุงเทพฯ พร้อมโค้งน้ำเจ้าพระยาได้เช่นกัน เรียกว่าที่นี่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในลูกรักของเราอยู่ไม่เปลี่ยน
เรายกให้วิวแบบสตันท์ของที่นี่เป็นนางเอกไป เพราะขออนุญาตยกให้อาหารและเครื่องที่นี่เป็นพระเอกแทน เพราะอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ได้ R&B Lab ขับเคลื่อนมาโดยตลอด อย่างที่รู้กันว่า R&B Lab โลดแล่นอยู่ในวงการอาหารและเครื่องดื่มมายาวนาน ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา มีร้านอาหารและบาร์ที่พวกเขาดูแลอยู่กระจายกว่า 10 แห่งทั่วโลก และ Scarlett Wine Bar & Restaurant ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ฤดูกาลของ French Asparagus ที่ห้องอาหารหยิบมาทำถึง 7 เมนูให้เราได้ลิ้มลองกัน ทั้งเมนูแบบ French Authentic แท้ ๆ กับเมนูซิกเนเจอร์ที่ผสมผสานสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา ที่น่าลองไปหมดทุกจาน”
Spring L’Amour กับ 7 เมนู French Asparagus ที่มีให้ลองเพียง 2 เดือนเท่านั้น
ฤดูกาลของ French Asparagus ที่ห้องอาหารหยิบมาทำถึง 7 เมนูให้เราได้ลิ้มลองกัน ทั้งเมนูแบบ French Authentic แท้ ๆ กับเมนูซิกเนเจอร์ที่ผสมผสานสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา ได้ยินแบบนี้จึงอดไม่ได้ที่จะลองเมนูคลาสสิคอย่าง Asparagus à la Flamande (590 บาท) หน่อไม้ฝรั่งขาวชิ้นโต ท็อปด้วยไข่ลวก มะนาว และผักชีฝรั่ง เท็กเจอร์ของหน่อไม้ฝรั่งขาวจะต่างจากหน่อไม้ฝรั่งเขียวออกไป เนื้อแน่น กรอบ หวานนิด ๆ ช่วยให้สดชื่นดีมาก ๆ ยิ่งกินคู่กับไข่ลวก ช่วยเพิ่มความหอมมันเข้าไปได้อีก และต้องบอกว่าจานนี้ใหญ่พอที่จะแชร์กันได้เลยล่ะ
อีกจานเราขอเลือกเป็น Chicken Truffle Supreme & Asparagus (890 บาท) หน่อไม้ฝรั่งเสิร์ฟคู่กับอกไก่ เห็ดปารีส และซอสเห็ดทรัฟเฟิล อกไก่เซียร์มากำลังดี ข้างในยังมีความฉ่ำ ไม่แห้งจนเกินไป กับหน่อไม้ฝรั่งเขียวนุ่มลื่น ทานง่าย ที่สำคัญคือเข้ากับเห็ดปารีสที่เสิร์ฟเคียงมาด้วยกันมาก ๆ
จริง ๆ แล้วยังมีเมนูจาก Spring L’Amour ที่น่าสนใจอีกเยอะมาก ทั้ง Asaparagus & Parmesan ที่นำหน่อไม้ฝรั่งมาอบในเตาอบจนกรอบ แล้วโรยหน้าด้วยพาเมซานชีสรสเผ็ดเล็กน้อย เมนู Asparagus Mousseline ที่เน้นการดึงความหวานของหน่อไม้ฝรั่งขาวออกมา ท็อปด้วยซอสมูสลีน
สายย่างอยากให้ลองเมนู Charcoal-Grilled White Asparagus หยิบเอาหน่อไม้ฝรั่งขาวมาย่างบนเตาถ่านให้ได้กลิ่นหอมของควันไฟ และเครื่องสมุนไพรต่าง ๆ หรือเมนูรว่มสมัยอย่าง Asparagus Espuma & Salmon หน่อไม้ฝรั่งเอสพูม่ากับแซลมอนรมควัน ท็อปด้วยไข่ลวกด้านบน และ Asparagus & Hummus Salad หน่อไม้ฝรั่งขาวและโรเมน เสิร์ฟพร้อมโยเกิร์ตและครีมงาดำหอม ๆ รับรองว่านี่เป็นอีกจานที่สดชื่นดีมาก ๆ เลยล่ะ
ใครอยากไปลองเมนู French Asparagus ต้องล็อกคิวในช่วงนี้เอาไว้ให้ดี เพราะเทศกาลนี้มีบริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 นี้เท่านั้นนะ
จะมาคืนไหนก็คุ้ม เพราะมีโปรโมชั่นทุกคืนตลอดปีนี้
ด้วยความที่เป็นห้องอาหารฝรั่งเศส เราจึงอดไม่ได้ที่จะสั่งเมนูอื่น ๆ นอกเหนือจากเทศกาลหน่อไม้ฝรั่งมาชิมบนโต๊ะด้วย เราลอง Scallops d’Hokkaido (1,300 บาท) โฮตาเตะตัวเบิ้ม ๆ จากฮอกไกโด มาพร้อมกับซอสพาร์เมซานชีสอย่าง Parmigiano Reggiano และทรัฟเฟิลครีม โฮตาเตะคุกมากำลังดี เนื้อเด้ง ๆ แน่น ๆ กับซอสครีมมี่ ๆ เค็มนิด ๆ แป๊บเดียวหมดจาน นอกจากนี้เรายังเลือกเป็น Special Menu ของทางร้านที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ด้วย (แปลว่ามากี่ครั้งก็ได้เจอเมนูใหม่ ๆ ไม่เบื่อ) เราเลือก Beef Rossini (1,350 บาท) ที่เลือกใช้เนื้อส่วน Angus Tenderloin มากริลล์คู่กับ Foie Gras ราดด้วย Foie Gras Sauce และเสิร์ฟพร้อม Potato Fondant เราสั่งมาแบบ Medium Rare ที่กริลล์มาดีเลย เนื้อข้างในยังแดงแต่ไม่มีน้ำเนื้อชุ่มออกมาจึงไม่คาว แต่เนื้อนุ่มมาก ๆ ตับห่านชิ้นหนาแบบไม่เกรงใจใคร ต้องบอกว่าจานนี้ไม่ได้มีไปตลอด ต้องรีบแวะมาลองชิมดูนะ
และด้วยความที่เราแวะเวียนไปในวันจันทร์พอดี ซึ่งเป็นวันที่ทาง Scarlett Wine Bar & Restaurant มีโปรโมชั่นอย่าง 1-meter board of small plates (900 บาท) เลือกอาหารได้ 5 จาน (จาก 12 จาน ดูเมนูทั้งหมดได้ที่นี่เลย) ที่จะเสิร์ฟมาบนบอร์ดไม้ยาว 1 เมตรเต็ม ๆ โต๊ะ เราเลือกอาหารในบอร์ดเป็น Sweet Potato Fries มันหวานมอดโรยด้วยทรัฟเฟิลออยล์และพาเมนซานชีสขูด Black Tempura Calamari คารามารีสีดำ ดิปกับชิลลี่มายองเนส Deviled Eggs ไข่ต้มที่เสิร์ฟกับมายองเนสสูตรพิเศษ และแซลมอนรมควัน Tasmanian Salmon Ceviche เซวิเช่แซลมอนที่รีเฟรชได้ดี และ Tomato Confit & Stracciatella Cheese มะเขือเทศลูกเล็กกับไข่ปลาแซลมอน และชีสอิตาลี ที่ต้องบอกว่าอร่อยจนต้องแย่งกันกินเลยล่ะ ส่วนตัวเราคิดว่าบอร์ดนี้คุ้มมาก ๆ เพราะปริมาณค่อนข้างเยอะ เรียกว่าแชร์กัน 3-4 คนได้สบาย ๆ
นอกจากบอร์ด 1 เมตรที่เป็นโปรโมชั่นวันจันทร์แล้ว ยังมีโปรโมชั่นในวันอื่น ๆ ตลอดทั้งสัปดาห์ให้เลือกด้วยเช่นกัน อย่างวันอังคารจะเอาใจคนรักหอยนางรม ด้วย French Fine de Clarie No.4 หอยนางรมจากฝรั่งเศสที่เพียงตัวละ 1 ดอลลาร์เท่านั้น, วันพุธกับ Butcher’s Cut ราคาดีงามที่เลือกได้ตามใจ, วันพฤหัสบดีกับ Ladies Night เครื่องดื่มที่ร่วมรายการซื้อ 1 แถม 1 ไปทั้งคืน พร้อมมีดนตรีสดในคืนนี้ด้วย, วันศุกร์และเสาร์ กับแจ๊สไนท์ และไวน์ 1 ขวด แถม 1 ขวด ในราคา 1,900++ บาท (ตั้งแต่ 19:L00 – 21:00 น.) และวันอาทิตย์กับ 1-meter cheese & cold cuts board plus a bottle ในราคา 1,900++ บาทเช่นกัน เรียกว่าจะมาวันไหนก็มีโปรโมชั่นหมด (แล้วอย่างนี้จะไม่เผลอให้ไปทุกวันได้ไงก่อน)
ลิ้มลอง Scarlett Signature Drink แก้วพิเศษ
ขึ้นชื่อว่าเป็นทั้งห้องอาหารฝรั่งเศสและบาร์ จะไม่ลองเครื่องดื่มก็คงไม่ได้ (เพราะหน้าบาร์ก็น่าหย่อนตัวนั่งชิลล์ ๆ เหมือนกันนะ)
เราขอลองสั่งเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของที่นี่สักหน่อย เริ่มต้นด้วย Scarlett Night (380 บาท) เครื่องดื่มเบสจิน ใส่ Antica Formula Vermouth เลมอน และไซรัปโรสแมรี่ บาร์เทรเดอร์จะเบิร์นโรสแมรี่จนเกิดสโมกเพิ่มกลิ่นเข้าไปด้วย แก้วนี้จะเปรี้ยว ๆ ชื่นใจ สาว ๆ น่าจะชอบได้ง่าย ๆ กับอีกแก้วเป็น Mariposa (380 บาท) ที่เบสเป็น Hendricks Gin ใส่ไซรัป butterfly pea & elderflower จนได้สีม่วงสวย เติมรสเปรี้ยวด้วย lime juice และท็อปด้วย lemon foamถ้าเทียบกับแก้วแรก แก้วนี้จะหวานขึ้นมาอีกหน่อย อมเปรี้ยวนิด ๆ ดื่มง่ายแน่นอน
สุดท้ายกับแก้วของหนุ่ม ๆ Antica Negroni (380 บาท) ที่มี Gin, Antica Formula vermouth, Campari บีบผิวส้มเพื่อเอาน้ำมันเปลือกส้มให้ผ่านไฟ กับคอฟฟี่บีนที่เบิร์นไฟเติมกลิ่นกาแฟลงไปด้วย
ส่วนตัวเรามองว่า Scarlett Wine Bar & Restaurant ถือเป็นสถานที่แฮงก์เอาต์ที่เหมาะกับทุกกลุ่มเลย จะมาเป็นแก๊งเพื่อน นัดตี้กัน หรือมาเป็นแก๊งออฟฟิศพูดคุยสารทุกข์สุขดิบ คู่รักที่หาอาหารฝรั่งเศสดี ๆ วาไรตี้หน่อย หรือครอบครัวที่มาดินเนอร์กัน ก็รองรับได้ทุกกลุ่ม และตัวเมนูเทศกาลต่าง ๆ ทางห้องอาหารเองก็จะเปลี่ยนทุก 2 เดือนอีกด้วย ทำให้เป็นอีกหนึ่งที่ที่แวะมาได้ตลอดทั้งปีไม่มีเบื่อเลยล่ะ แค่นั่งดูวิวกรุงเทพฯ ก็คุ้มแล้ว
Scarlett Wine Bar & Restaurant
เปิดทุกวัน เวลา 17:00 – 24:00 น.
ชั้น 37 โรงแรม Pullman Bangkok G สีลม บางรัก
BTS ช่องนนทรี แล้วเดิน | มีที่จอดรถ