สำหรับคนไทยอย่าง Routeen. แล้ว เวลาได้เจอร้านอาหารไทยที่ถูกปาก กับเมนูที่ได้ลองรสชาติและวัตถุดิบใหม่ ๆ ทีไร จะรู้สึกว่า “ดีจังเลยน้าที่ได้เกิดเป็นคนไทย” ทุกที เหมือนล่าสุดที่เราได้เจอร้านอาหารไทยในย่าน บางใหญ่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเส้นราชพฤกษ์ ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมาอย่าง SANN Restaurant (สรร) ก็ต้องจดไว้เป็นร้านอาหารไทยที่น่าสนใจอีกร้านได้เลย
SANN Restaurant (สรร) ตั้งอยู่บนเส้น บางใหญ่ – บางคูลัด ที่หากมาจากเส้นราชพฤกษ์ ก็ขับเลยอุโมงค์วงเวียนพระราม 5 มานิดเดียว แต่พอมาถึงร้านบนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ก็เหมือนได้หลีกเร้นสู่ความสงบและร่มรื่นของสวนผลไม้ ที่ตั้งรายล้อมอยู่รอบตัวร้าน
เราจะได้เห็นทั้งต้นทุเรียน (แน่นอนว่าทุเรียนนนท์อร่อยมาก) มะปราง มะม่วง และไม้ผล ไปจนถึงไม้พืช และพันธุ์ผักต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งทางร้านก็นำผลไม้ที่ได้จากสวนมาจำหน่ายในร้านด้วยนะ
ส่วนตัวร้านก็เตะตาด้วยงานออกแบบสไตล์ไทยโมเดิร์น ที่ยังคงคงหน้าตาแบบเรือนไม้เดิม เก็บงานเดิมของตัวบ้านเอาไว้หมดทั้งพื้นไม้ ผนัง บานหน้าต่าง กระจก เพิ่มเติมด้วยโครงสร้างที่เล่นกับพื้นที่
ต่อหน้าบ้านให้เป็นพื้นที่โล่งแบบโอเพ่นแอร์ ใช้เสาไม้ แล้วกรุผนังแบบลอนใส เพื่อให้ได้รับแสงธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังช่วยบังฝน และมอบความเป็นส่วนตัวได้ระดับหนึ่ง โซนนี้ยังเป็น Pet Friendly อีกด้วย (แอบบอกว่าสนามหญ้าหน้าร้านเหมาะกับน้อง ๆ วิ่งเล่นมาก)
ส่วนครึ่งหลังของตัวบ้าน (หรือส่วนของตัวบ้านเดิม) พื้นที่ชั้น 2 ปรับให้เป็นโซนห้องแอร์ ที่ยังคงเก็บรายละเอียดเดิมของบ้านหลังนี้เอาไว้ มีห้อง Private Room รองรับความเป็นส่วนตัวถึง 2 ห้อง สามารถเปิดให้เชื่อมถึงกันได้ เมื่อเชื่อมเป็นห้องแล้วจะรองรับได้สูงถึง 20 คน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชานบ้านขนาดกว้างที่ชั้นลอย สำหรับคนที่ยังอยากนั่งในบรรยากาศแบบโอเพ่นแอร์ที่ชั้นบนอยู่เช่นกัน
คุณจอง – สิทธิรุจน์ เมฆอรุณกมล หนึ่งในหุ้นส่วนของ SANN Restaurant เล่าให้เราฟังว่า เดิมทีคุณจองทำธุรกิจอยู่ละแวกนี้อยู่แล้ว วันหนึ่งผ่านที่ตรงนี้แล้วก็มาเจอบ้านไม้สักเก่ากลางสวนผลไม้อายุประมาณ 40 ปีตั้งอยู่ เห็นแล้วจึงอยากนำมาพัฒนาเป็นร้านอาหาร
เนื่องด้วย คุณเอ้ หนึ่งในหุ้นส่วนร้านเองก็เคยทำร้านอาหารอยู่ที่ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกามากว่า 40 ปี เมื่อกลับมาประเทศไทย ก็คุยกันมาสักพักว่าอยากทำร้านอาหารอีกครั้ง
ประจวบเหมาะกับที่มาเจอบ้านหลังนี้พอดี แล้วรู้สึกเสียดายความสวยงามของเรือนไม้สักเก่าย่าน บางใหญ่ ที่ต้องถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งานจนทรุดโทรม จึงเปลี่ยนบ้านไม้กลางสวนแห่งนี้ให้กลายเป็นร้านอาหารไทย ผ่านคอนเซปต์ “สรร” ตามชื่อร้าน ที่ตั้งใจ สรรหา วัตถุดิบที่ดีจากทั่วประเทศไทย พร้อม รังสรรค์ เมนูรสชาติถูกปากด้วยสูตรของทางร้าน จึงกลายมาเป็นชื่อร้านอย่าง SANN Restaurant นั่นเอง
“เปลี่ยนบ้านไม้กลางสวนแห่งนี้ให้กลายเป็นร้านอาหารไทย ผ่านคอนเซปต์ ‘สรร’ ตามชื่อร้าน ที่ตั้งใจ สรรหา วัตถุดิบที่ดีจากทั่วประเทศไทย พร้อม รังสรรค์ เมนูรสชาติถูกปากด้วยสูตรของทางร้าน จึงกลายมาเป็นชื่อร้านอย่าง SANN Restaurant นั่นเอง”
ทางร้านตั้งใจเลือกใช้วัตถุดิบที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลของแต่ละภูมิภาคมาใช้ ทำให้เราจะได้พบเจอวัตถุดิบที่แตกต่างกันในเมนูต่าง ๆ ของทางร้าน เชฟโย เฮดเชฟของ SANN Restaurant เล่าให้ Routeen. ฟังว่า อย่างช่วงนี้ก็นำวัตถุดิบจากจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และราชบุรี มานำเสนอ
เราลองหลากหลายเมนูตั้งแต่ แกงคั่วใบกะเพราเนื้อกรอบ (420 บาท) แกงที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแกงระแวง ที่ชิมแล้วรสชาติจะมีความคล้ายแกงเขียวหวานอยู่หน่อย ๆ แต่ในเครื่องแกงจะใส่ใบพริกลงไปด้วย ทำให้ตัวแกงมีรสเผ็ดร้อนขึ้น โดยทางร้านเลือกใช้เนื้อน่องลายจากจังหวัดมุกดาหาร ที่กรุบกรอบดีมาก ๆ เลยล่ะ
สเต็กเนื้อจากมุกดาหารดรายเอจ จิ้มแจ่วเฮือนด้าน (590 บาท) ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เลือกใช้เนื้อจากมุกดาหาร ย่างด้วยเตาถ่านกลิ่นหอม เสิร์ฟคู่กับแจ่วเฮือนด้าน เป็นแจ่วที่หากินได้แถบจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี ที่ใช้พริกพานเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งจะคล้ายกับมะแขว่นที่เรารู้จัก แต่จะมีกลิ่นที่ต่างกันออกไปเล็กน้อย โดยออกไปทางหอมเย็น เป็นเครื่องจิ้มที่หากินได้ยากในกรุงเทพฯ ไม่น้อย
ปลาสีกุนฟู ซอสต้มข่า (240 บาท) ทางร้านเลือกใช้ปลาสีกุน เป็นปลาตัวเล็กที่นำไปย่าง แล้วขูดเนื้อออกมายี ทอดให้เหลืองฟู เปลี่ยนน้ำราดเป็นต้มข่า ที่เลือกใช้ความเปรี้ยวจากส้มควายจากภาคใต้ (หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ส้มแขก) ขอบอกว่าจานนี้ช่วยตัดเผ็ดจากเมนูแกงกะเพราก่อนหน้านี้ได้ดีเลยล่ะ
หลนไข่ปู (ตรวจสอบราคากับทางร้านอีกครั้ง) เป็นอีกหนึ่งเมนูที่จะเปลี่ยนไปตามวัน ขึ้นอยู่กับวันนั้นทางร้านมีวัตถุดิบอะไรสามารถทำเป็นหลนได้บ้าง หลนรสชาติหวานนำ เครื่องในชามหลนแน่น กินคู่กับผักสดหลากหลาย แถมยังมีชมพู่ให้ลองกินกับหลน ซึ่งเข้ากับหลนได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ
นอกจากนี้ยังมี ปลาจาระเม็ดดำทอดราดน้ำปลา ยำมะม่วง (450 บาท) ปลาจาระเม็ดส่งตรงมาจากทะเลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทอดจนกรอบแล้วราดด้วยน้ำปลาปรุงรส เสิร์ฟพร้อมยำมะม่วงรสเปรี้ยวหวาน ที่ใส่กุ้งแห้งลงไปด้วย ยำปลาทูใบบัวบก (220 บาท) เมนูติดบ้านของคุณจอง ที่หยิบขึ้นมาเสิร์ฟให้ได้ลองชิมด้วย
ผัดหัวตาลกุ้งสด (350 บาท) อีกหนึ่งเมนู Gastronomy ของจังหวัดเพชรบุรี ที่ทางร้านนอกจากใส่กุ้งสดลงไปผัดแล้ว ยังเอาหัวกุ้งแชบ๊วยลงไปต้มในน้ำมันรำข้าว แล้วเคี่ยวจนกลายเป็นมันกุ้ง เพื่อนำมาผัดร่วมกับหัวตาลด้วย หัวตาลอ่อน ๆ ไม่ติดรสฝาดเลย เรียกว่ากินเพลินไม่แพ้ยอดมะพร้าวเหมือนกัน
ปิดท้ายด้วย กุ้งแม่น้ำทอดดอกเกลือ (490 บาท) เสิร์ฟมาแบบตัวใหญ่เบิ้ม บอกเลยว่าน้ำมันคลุกข้าว แล้วแกะเนื้อปูวางด้านบน กินคำใหญ่ ๆ แล้วเต็มปากเต็มคำมาก ๆ เลยล่ะ
ล้างปากด้วยของหวานอย่าง ผลไม้ตามฤดูกาลลอยแก้ว ช่วงนี้จะเป็น มะกรูดลอยแก้ว (125 บาท) หรือจะเป็นไอศกรีมรสไทย ๆ ก็มีให้เลือกทั้งไอศกรีมรสมะพร้าวอ่อน รสหม้อแกง และรสขนมตาล (120 บาท) ปิดท้ายด้วย น้ำอัญชันมะปี๊ดสด (120 บาท) ก็ชื่นใจดี
นอกจากนี้ ของปรุงต่าง ๆ จากทั่วประเทศที่ทางร้านนำมาใช้ ก็แบ่งปันนำมาจำหน่ายในร้านให้ได้ลองเอาไปใช้ปรุงอาหารกันที่บ้านของเราเองด้วย เช่น น้ำปลาจากจังหวัดตราด ซอสพริกจากจังหวัดชลบุรี หรือกะปิเจ้าประจำของทางร้านที่สั่งทำจากจังหวัดระยอง ไปจนถึงของขบเคี้ยวต่าง ๆ ก็มีให้เลือกชอปปิงเช่นกัน
ส่วนสายดื่มเอง ที่นี่ก็ยังพาร์ตบาร์พร้อมเสิร์ฟค็อกเทล (ที่เลือกใช้ Spirit ของไทยด้วย อย่างตอนที่เบสหลักก็จะเป็นจินจากชลบุรีแบรนด์ Inchon) หรือคราฟต์เบียร์ไทยให้ได้ลองเช่นกันนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่าตอนนี้ SANN Restaurant กลายเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารไทยสุดฮิตของ บางใหญ่ ไปแล้ว เพราะคิวแน่นคิวล้นแทบทุกวัน ขอแนะนำว่าให้จองโต๊ะกันล่วงหน้านะ เพราะถ้า Walk-in ไป อาจไม่ได้กินก็ได้
SANN Restaurant
เปิดทุกวัน 11:00 – 22:00 น.
ถนนบางใหญ่ – บางคูลัด (ตรงข้ามหมู่บ้าน The City ราชพฤกษ์)
MRT บางพลู แล้วต่อแท็กซี่ | มีที่จอดรถ
