ไปฝั่งธนฯ โดยเฉพาะจรัญสนิทวงศ์เราจะนึกถึงคาเฟ่ หรือร้านอาหารแนวสตรีตฟู้ด ร้านเจ้าเก่า เจ้าดังกันเป็นส่วนใหญ่ แต่พอให้นึกถึงอาหารแนวเมดิเตอร์เรเนียนกับย่านจรัญสนิทวงศ์ อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไหร่นัก แต่ล่าสุดเราได้พบกับร้านอาหารแนวเมดิเตอร์เรเนียนน้องใหม่ ที่มาด้วยแพชชั่น และความรักในการทำอาหารอย่าง Sanitwong Bites & Brews ที่บอกกับเราว่า อยากจะเสิร์ฟรสชาติใหม่ ๆ ให้กับย่าน
คนที่บอกเราก็คือ เชฟใบตอง – กมเลศ ฤทธิ์เดชา (หรือที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในหนึ่งในเชฟผู้เข้าแข่งขัน Hell’s Kitchen Thailand) ผู้ที่เป็นทั้ง Owner และ Head Chef ของร้าน Sanitwong และตั้งใจทำร้านนี้ขึ้นมาด้วยความเชื่อที่ว่า คนฝั่งธนฯ เองก็มีความชื่นชอบในอาหารคูซีนใหม่ ๆ ไม่แพ้ฝั่งสุขุมวิทหรืออารีย์ เพียงแต่ว่าอาจจะยังไม่ได้มีร้านสไตล์นี้เยอะมากนักในฝั่งนี้เท่านั้นเอง
“ถามว่ายากไหม ก็ยาก ตอนเปิดใหม่ ๆ คนละแวกนี้ก็จะถามว่าทำไมไม่เปิดร้านอาหารไทยล่ะ จะขายได้ไหม แต่เรามีความเชื่อว่า ถ้าสมมุติเราคิดว่าสิ่งที่เราจะทำ เราชอบแล้วเราอยากจะทำ สิ่งที่ต้องมีก็คือความมั่นใจ และความชอบในอาหารของเรา เชื่อว่านำเสนอออกไป ก็ต้องมีคนเห็น”
Sanitwong แฝงตัวอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 28 ใช้พื้นที่ฝั่งหนึ่งของอาคารเก่าดีไซน์สวย ที่มีบล็อกแก้วคลาสสิกเป็นเอกลักษณ์ของอาคาร (เป็นที่มาของโลโก้ร้านด้วย) ด้านในตกแต่งแบบอบอุ่น ให้บรรยากาศสบาย ๆ เหมือนมากินอาหารบ้านเพื่อน เพราะที่นี่อยากให้คนมากิน รู้สึกสนิทกัน เหมือนจรัญสนิทวงศ์
Fun Fact : ชื่อร้าน Sanitwong อยากให้เหมือนเป็นวงศ์ที่สนิทกัน และอยากเบลนด์อินไปกับชุมชน และที่มีคำว่า Bite & Brew ต่อท้าย เป็นความตั้งใจที่อยากทำอาหารกินง่าย ๆ ส่วน Brew ก็คือพาร์ทกาแฟที่ตั้งใจทำไม่แพ้กัน แต่ปัจจุบันถึงเมนูจะไม่ออกแนว Bite แต่ก็ยังตีความว่ากินง่ายอยู่ มา Sharing กันได้
Sanitwong Bite & Brews นำเสนอเมนูเมดิเตอร์เรเนียน ที่ตั้งใจใช้วัตถุดิบโลคอล
เมนูที่นี่มาจากความถนัดของเชฟใบตอง ที่เคยทำงานในครัวเมดิเตอร์เรเนียน-อิตาเลียน ที่ออสเตรเลีย (และยังเป็นร้านที่ได้ Chef Hat Awards ด้วยนะ) โดยจะเป็นเมดิเตอร์เรเนียนที่ใช้หลายเทคนิค ทั้งอิตาเลียน ฝรั่งเศสตอนใต้ สเปน กรีซ แต่ความพิเศษคือ เชฟจะเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่นจากไทยให้ได้มากที่สุด และเน้นใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล
เชฟใบตองเล่าว่า ที่เลือกเมดิเตอร์เรเนียน เพราะชอบแนวคิดที่เคารพวัตถุดิบ ไม่แปรรูปวัตถุดิบเยอะมากนัก อย่างร้าน Sanitwong ก็จะใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลค่อนข้างเยอะ ซึ่งมาแต่ละช่วงก็อาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพราะไม่อยากฝืนธรรมชาติ และเชฟยังมองว่าการได้วัตถุดิบในแต่ฤดูกาลเป็นความสนุกที่ได้ครีเอตรสชาติใหม่ ๆ จากวัตถุดิบที่ได้มาแต่ละครั้ง
“ที่ตั้งใจใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เรารู้สึกว่าวัตถุดิบบ้านเรามีของดีเยอะมาก ๆ แล้วก็ไม่อยากให้วัตถุดิบไทย มันหยุดอยู่แค่ที่อาหารไทย จริงอยู่ที่อาหารไทยเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดในโลก แต่ถ้าจำกัดแค่ทำอาหารไทย มันก็จะเหมือนวัฒนธรรมถูกแช่แข็ง ในฐานะที่เป็นเชฟรุกกี้ ก็อยากจะทำอะไรที่แตกต่าง ให้วัตถุดิบไทยมันเติบโตไปได้อีก”
อย่างเมนูที่เราเลอง Miss Siam Corn Ribs (180 บาท) เป็นการใช้ข้าวโพดไทยหลายสายพันธุ์หมุนเวียนตามฤดูกาล โดยครั้งนี้เราได้เจอกับข้าวโพดหวานจากจังหวัดราชบุรี และข้าวโพดข้าวเหนียวจากจังหวัดอุดรธานี เสิร์ฟมากับเอโอรีกระเทียม ที่ใช้ทั้งกระเทียมกงฟี กระเทียมสด และกระเทียมพาวเดอร์ ให้มีความหอมกลมกล่อม
ซึ่งโดยปกติหลาย ๆ คนคงไม่เลือกเอาข้าวโพดข้าวเหนียวมาทำเมนูนี้เพราะรสชาติไม่หวาน แต่จริง ๆ มันมีเทกเจอร์เฉพาะตัวที่ข้าวโพดหวานก็ให้ไม่ได้ (ซึ่งเราได้ลองแล้วติดใจมาก ๆ มีความนุ่มหนึบ กินเพลิน) และที่ตั้งชื่อว่า Miss Siam เพราะเปรียบข้าวโพดจากแต่ละที่ เป็นตัวแทนมาประกวดบนเวที (เก๋มาก!)
อีกเมนูเป็น Smooth As Silk Parfait (260 บาท) ตับไก่บดกับเครื่องเทศของไทยและสุราไทยรสเข้มข้น กินกับขนมปังเข้ากัน มีซอสมะม่วงสุกกับเสาวรส ให้รสเปรี้ยวหวาน ตัดด้วยผักดองที่ใช้ผักพื้นบ้านอย่างมะระขี้นกและหอมแดง มาดองแบบเมดิเตอร์เนียน ให้รสชาติแปลกใหม่ดี
เมนูใหม่ที่เราได้ลองอีกเมนูเป็น Girl on the Beach Salad (260 บาท) เป็นกรีกโยเกิร์ตที่ทางร้านทำเอง ผสมกับซูมัค (เครื่องเทศที่ได้จากผลแห้งของต้นรวงผึ้ง) รสคล้าย ๆ เบอร์รี่แห้ง พร้อมผลไม้ตามฤดูกาลย่าง มีแอปเปิ้ลโพช สาลี่ สับปะรดภูแล แตงโม โรยด้วยเมล็ดดอกทานตะวันคั่ว
และซอสที่ใช้สับปะรดภูแลผสมเสาวรส ใช้ความหวานธรรมชาติ สมซอสซิตรัว ส้ม มะนาว เรดไวน์ เข้าด้วยกัน มีน้ำมันมะกอกด้วยนะ เป็นเมนูที่มีหลายองค์ประกอบแต่กินแล้วเข้ากัน สดชื่น แถมได้ประโยชน์
อีกเมนูที่เราชอบ Hola Ceviche (360 บาท) ใช้ปลาฮามาจินำเข้า นำมาปรุงในสไตล์สเปน คล้าย ๆ ครูโด้ของอิตาลี ท็อปด้วยส้มโอ ราดด้วยซอสสับปะรดภูแล ผสมส้มมะนาว เสาวรส และมีซอสทาร์ทาร์ผักไทยดอง น้ำมันพริกช่วยตัดรส เป็นอีกหนึ่งเมนูสดชื่นที่ใครชอบกินปลาดิบจะรัก
เข้าสู่จานหลักด้วย Plara Pasta (280 บาท) อีกหนึ่งเมนูสุดจัดจ้าน เป็นพาสต้า AOP สไตล์อิตาเลียน ที่ใช้ชื่อปลาร้า เป็นการตั้งจากกรรมวิธีการหมักปลา ที่เชฟตั้งใจใช้ปลากุเลาจากอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร แทนการใช้แอนโชวี่ มีความหอมเค็มเป็นเอกลักษณ์
เสิร์ฟพร้อมปลาข้างเหลืองจากจังหวัดระยองทอดกรอบเพิ่มเทกเจอร์ ให้รสจัดสไตล์ไทยด้วยน้ำมันพริกที่ทำจากพริกจินดาตากแห้ง ยิ่งบีบมะนาวไปนิด ๆ รสจะยิ่งกลมกล่อม หอมเค็มเผ็ดเข้ากันดีมาก ๆ
และ Fish en Papillote (460 บาท) เมนูปลาที่เชฟนำปลาไปกงฟี ก่อนอบด้วยกระดาษไข เป็นสไตล์ดั้งเดิมของเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ได้เนื้อปลาที่ยังคงชุ่มฉ่ำ ละลายในปาก ( ที่ดูเหมือนไม่สุก แต่จริง ๆ สุกแล้วนะ) เสิร์ฟมากับโพชแอปเปิ้ล ส้มจากภูเรือ จังหวัดเลย ส้มยอ และผักปลังทอดกรอบ มีซอสผิวส้มผสมพริกหนุ่มเพิ่มรสชาตินิด ๆ เป็นเมนูที่อยากให้ลองมาก ๆ
ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน Wolffia Tiramisu (240 บาท) ที่ใส่ไข่ผำจากจังหวัดอุดร (อบแบบไม่ใช้ความร้อน ไม่ทำลายสารอาหาร) สอดไส้มะต๋าวสด (ลูกชิด) จากจังหวัดน่าน ผสมมัทฉะนิด ๆ ให้ความหอม เป็นทีรามิสุที่รสชาติไม่หวานมาก ชอบเวลากัดโดนลูกชิด จะเทกเจอร์กรอบแต่ยังละมุนอยู่เข้ากันดีมาก ๆ
นอกเมนูอาหาร ฝั่งเครื่องดื่มที่เห็นบาร์ขนาดใหญ่ เพราะฝั่งกาแฟก็ตั้งใจไม่แพ้กันเมล็ดกาแฟจากอมก๋อย เบลนด์มาให้โดยเฉพาะ และยังมีไวน์ให้เลือกแพริ่งด้วย โดยตั้งใจเลือกตัวที่มีรสชาติดี เข้าถึงง่าย (ใครอยากได้แบบไหนเป็นพิเศษ แนะนำให้แจ้งล่วงหน้า)
และจะเห็นว่ามีช่องหน้าต่างให้เห็นครัว เป็นความตั้งใจของเชฟใบตอง ที่ส่วนตัวชอบดูบรรยากาศในครัว เลยอยากให้ทุกคนได้เห็นการทำงานจริง ๆ ในครัว รู้ที่มาที่ไปของอาหาร ได้เห็นสิ่งที่เชฟทำ และเชฟเองก็ยังคงดูแลทุก ๆ จานด้วยตัวเองนะ ใครมา Sanitwong ได้เจอเชฟใบตองแน่ ๆ
Sanitwong Bites & Brews
เปิด 11:00 – 22:00 น. (Last order 21:00 น.) ปิดทุกวันจันทร์
จรัญสนิทวงศ์ 28 (ซอยอิสรภาพ 39)
MRT สถานีไฟฉาย | มีที่จอดรถ
Google Maps
