เรียกว่ากำลังเป็น Talk Of The Town และได้ยินว่ามีคนที่สนใจหลั่งไหลไปเยอะมาก ๆ ในเวลานี้ (จนถึงกับต้องต่อคิวเข้างานกันเลย) กับนิทรรศการร่วมสมัยชิ้นใหม่ล่าสุด Nostalgia For Unity ที่ Bangkok Kunsthalle (บางกอก คุนส์ฮาเลอ)


เพราะภาพของผลงานขนาดใหญ่ที่ปูลาดยาวตามทางเดิน ที่ให้ผู้ชมอย่างเราสามารถย่ำลงไปได้ ผนวกกับบรรยากาศและแสงที่ตกกระทบได้อารมณ์ไซ-ไฟ มาก ๆ ก็ทำให้หลาย ๆ คนอยากไปเห็นผลงานชิ้นนี้ด้วยตาสักครั้ง แต่จริง ๆ แล้วเบื้องหลังชิ้นงานอันน่าตื่นตานี้ กลับซ่อนความหมายแฝงเอาไว้มากมายด้วย

นี่คือผลงานของ กรกฤต อรุณานนท์ชัย ศิลปินร่วมสมัยชาวไทยที่มีชื่อเสียงดังไกลไปจนถึงต่างประเทศ ล่าสุดก็เพิ่งมีโอกาสแสดงผลงานในงานระดับชาติอย่าง Thailand Biennale Chiang Rai เมื่อปีที่แล้ว โดยผลงานของเขามักจะพาเราไปสำรวจประเด็นความเคลื่อนไหวของสังคม ความเชื่อ และศาสนาอยู่เสมอ

ในครั้งนี้ กรกฤตหยิบเอาพื้นที่เว้นว่าง หรือ Negative Space มาเป็นสื่อหลักของงาน ทั้งยังเป็นงานจิตรกรรม ภาพยนตร์ เวที และบทหนัง โดยใช้บทหนังมาเป็นเส้นกั้นระหว่าง “สิ่งที่ได้รับการยินอม” กับ “สิ่งที่มองไม่เห็น” แต่เราก็อยากเห็นว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง
“สถาปัตยกรรมนี้เปรียบเสมือนร่างยักษ์ที่กำลังสลายไปตามกาลเวลา เขาจึงสร้างหัวใจดวงใหม่ให้ร่างยักษ์จากเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่ภายในอาคาร”

นอกจากนี้ กรกฤต อรุณานนท์ชัย ยังอยากชวนพวกเรามาย้อนสำรวจแกนความคิดเดิมในงานของเขา เช่น การทับซ้อนกันของจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ความเสื่อมสลาย และการเกิดใหม่ ความเชื่อมโยงระหว่างการรู้แจ้งของปัจเจกบุคคลและจิตวิญญาณร่วมทางสังคม กรกฤตนำเรื่องราวความสัมพันธ์ของวิญญาณนิยมและคุณลักษณะของโบสถ์ มาสร้างพื้นที่การอยู่ร่วมกันขององค์ประกอบในการอธิษฐาน เจตนา และพิธีกรรม ทั้งหมดเชื่อมโยงกันผ่านบรรดาร่างผู้ชมที่เคลื่อนผ่านพื้นที่

และชิ้นงานบนพื้นสุดฮิตนี้ก็มีแรงบันดาลใจมาจาก Bangkok Kunsthalle สถานที่จัดงานนี่แหละ อย่างที่เราเคยเล่าไปแล้วว่า พื้นที่นี้เคยเป็นโกดังเก็บหนังสือของไทยวัฒนาพานิช (Routeen. เคยเล่าถึงเบื้องหลังของสถานที่แห่งนี้มาก่อนแล้ว อ่านกันได้ที่นี่) ที่หลาย ๆ คนคงต้องเคยมีหนังสือเรียนจากสำนักพิมพ์นี้มาก่อนบ้างในอดีต

และเมื่อครั้งที่แห่งนี้เกิดเพลิงไหม้ กรกฤตก็มองว่า สถาปัตยกรรมนี้เปรียบเสมือนร่างยักษ์ที่กำลังสลายไปตามกาลเวลา เขาจึงสร้างหัวใจดวงใหม่ให้ร่างยักษ์จากเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่ภายในอาคาร ก่อให้เห็นมวลที่มีลักษณะคล้ายเวทีบทสวดถูกปั้นนูนออกมาจากพื้นแบบนี้นี่เอง

ส่วนแสงในห้องนี้ที่ดูนวล ๆ ฟุ้ง ๆ นี่เกิดจากการสร้างมู้ดผ่านกระจกสีและและควันที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อจำลองบรรยากาศความหม่นและฝุ่นควันทั้งจากนิยายไซ-ไฟ และความเป็นจริงของโลกเราในทุกวันนี้ด้วย

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งงานที่ไม่ใช่มีความน่าสนใจเฉพาะชิ้นงาน แต่ตัวสถานที่เองก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ใครอยากอินเทรนด์ตอนนี้ก็พุ่งตัวไปได้เลย แต่ถ้าอยากได้คนน้อย ๆ ก็รออีกสักนิดก็ได้ เพราะนิทรรศการเขาจัดกันไปยาว ๆ จนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้เลยล่ะ