เมื่อรู้ข่าวว่า พี่โด่ง แห่งร้าน Sweet Pista ร้านในตำนานที่มีเมนูข้าวหมาข้าวแมว และเป็นร้านโปรดของหลาย ๆ คน มาเปิดร้านแห่งใหม่ แต่คราวนี้ไม่ใช่สาขาใหม่ของ Sweet Pista แต่อย่างใด เพราะนี่คือร้านอาหาร ในชื่อว่า ร้าน no chef ที่มาพร้อมคอนเซปต์ไม่ธรรมดา งานนี้เราไม่พลาด ขอแวะเวียนมาชิมถึงที่สักหน่อย


ร้าน no chef อยู่ในโครงการ วีด้า เจมโมฯ ย่านกาญจนาภิเษก 39 ตัวร้านตั้งอยู่ด้านใน ใช้พื้นที่ค่อนข้างเยอะ บอกเลยว่าด้านนอกร้านไวบ์ร้านเท่มาก ด้วยกำแพงสีอิฐขนาดใหญ่ และทางเข้าที่มีกิมมิก ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าถ้ำเพื่อไปเจอตัวร้านอีกที ซึ่งพอเข้าไปด้านใน จะพบกับร้านมู้ดสบาย ๆ โทนไม้สบายตา มีที่นั่งกว้างขวาง

ด้วยความเป็นร้านใหม่ พี่โด่ง – ธรรมวัต อรรถจินดา เลยจะมาประจำอยู่ที่นี่เป็นหลัก รับหน้าที่เป็นทั้งเจ้าของร้านและคนทำอาหาร โอกาสนี้เราเลยขอช่วงชิงเวลาของพี่โด่ง มานั่งพูดคุยถึงที่มาที่ไปกันสักนิด ก่อนจะไปลิ้มลองเมนูอร่อย ๆ กัน

“แรกเริ่มเดิมที ตั้งใจจะหาพื้นที่ทำครัวกลางให้กับ Sweet Pista ทั้งสองร้าน ที่อยู่เจริญกรุง กับลาดกระบัง และตั้งใจว่าอยากมีหน้าร้านเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก”
ใครที่บอกว่าอยากทำเล็ก ๆ ผลลัพธ์มักจะออกมาสวนทางเสมอไม่เกินจริง เพราะร้าน no chef ที่เราได้มาเยือน ถือว่าใหญ่ (มาก) ที่นั่งเป็นโต๊ะใหญ่ และมีหลายโต๊ะสุด ๆ พี่โด่งเล่าว่าพอมีโปรเจกต์จะทำครัวกลาง เลยมาถูกชะตากับที่ตรงนี้ ที่มีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ แบ่งทำเป็นห้องครัว ห้องอบขนมปัง ทำชีสได้ และยังถือว่าอยู่ตรงกลางระหว่างลาดกระบัง และเจริญกรุง วิ่งไปมาสองร้านได้ไม่ยากเท่าไหร่

ทำไมทำมาเริ่มจะจริงจังมากกว่าการเป็นแค่ครัวกลางที่มีหน้าร้านเล็ก ๆ เพราะลงดีเทลการตกแต่งร้านจริงจังมาก ไม่ว่าจะทางเข้าที่ได้แรงบันดาลใจจากโคเปนเฮเก้น การโยนโจทย์ว่าอยากได้เคาน์เตอร์กาแฟใหญ่ ๆ หน่อย ใส่ความชอบไม้ ปูน และหินลงไป
ผนังที่เห็นใช้เกรียงปาดแบบแฮนด์คราฟต์ทุกริ้ว ในขณะเดียวกันฝั่งครัวกลางที่ตั้งใจ ทำไปทำมาก็เริ่มเจอดีเทลที่ยากเลยชะลอ แล้วหันมาทำร้านอาหารให้เสร็จก่อน กลายเป็นร้านอาหารจริงจังขึ้นมา
และที่ตัดสินใจเปิดในชื่อใหม่ ไม่ทำเป็น Sweet Pista สาขาสาม เพราะอย่างที่รู้ว่าพี่โด่งเองเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว เมนูต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร้าน ล้วนแล้วเป็นเมนูที่ตัวเองชอบ
ซึ่งก็มีหลายเมนูที่ชอบแล้วอยากลองทำ แต่มันอาจจะไม่แมทช์กับความเป็น Sweet Pista เท่าไหร่ เลยเอามาใส่ในร้านนี้ซะเลย เลยเกิดเป็น ร้าน no chef ขึ้นมา แต่ยังคงคอนเซปต์โฮมเมดอยู่เช่นเดิม
ร้าน no chef ที่ไม่มีเชฟ (?) แต่อร่อย!

“ทำไมถึงชื่อ no chef เรามองว่าเราเป็นแค่พ่อครัว เราไม่ได้เรียนทำอาหาร เป็นคนทำอาหารที่ชอบทำอาหาร self-learn มาเรื่อย ๆ แล้วเราก็ไม่อยากให้มีกฎอะไรมาครอบว่าเป็นเชฟต้องมีขั้นตอนแบบนั้นแบบนี้ เลยเกิดเป็นคำว่า no chef ขึ้นมา ก็มีหลายคนมาถามว่า ไม่มีเชฟแล้วใครทำให้กิน (ขำ)”
ที่ตั้งชื่อร้านว่า no chef พี่โด่งเล่าอย่างถ่อมตัวว่า มองตัวเองเป็นเพียงพ่อครัว ไม่ถึงขั้นเชฟ ไม่ได้มีเทคนิคหวือหวา ไม่มีกฎเกณฑ์ เป็นคนทำอาหารที่ชอบทำอาหารเท่านั้น ตามสโลแกนที่ยึดถือมาเสมอว่า “I’m not a chef, I’m just a guy who tries to cook the best dish for you”



เมนูที่นี่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น เบอร์เกอร์ พาสต้า และข้าวผัดอยู่ มี Category คล้าย ๆ เดิม แต่ในดีเทลการปรุงจะต่างกัน พิถีพิถันมากขึ้น สเต็ปการทำที่ซับซ้อนขึ้น ใช้วัตถุดิบที่พรีเมียมขึ้น และที่นี่ก็จะมีสเต็กเนื้อจากหลาย ๆ ฟาร์มมาวางให้เลือกมากขึ้น

เราได้ลอง Three buddy’s fried rice with picanha (320 บาท) เป็นเมนูที่เอาความเป็น Sweet Pista ทั้ง 2 ร้านมารวมกัน อย่าง Warehouse 30 จะมีข้าวหมาข้าวแมว ที่ลาดกระบังมีเนื้อพิคานย่า ที่ร้าน no chef เลยปรับมาเป็น ข้าวผัดสามเกลอ รวมกับพิคานย่าไทยเฟรนช์
เราชอบที่สามเกลอ (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) โขลกจนละเอียด เอาไปผัดจนกับข้าวหอม กินคู่กับเนื้อพิคานย่ามีเดียมแรร์ชิ้นหนา มาแบบติดมันสวย ๆ พร้อมน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ด ถึงเครื่อง

พาสต้าเราลอง Shrimp pesto linguine (380 บาท) ที่ทางร้านทำเครื่องเพสโต้เองทั้งหมด ที่ชอบคือไม่มัน มีความนัว ๆ จากชีสที่ใส่มาเต็ม ๆ อร่อยมาก

ที่พลาดไม่ได้ Bacon Cheeseburger (390 บาท) ที่ทางร้านทำแป้งบันเอง (แบบเดียวกับ Sweet Pista เลย) เป็นบันที่ปล่อยไว้นานก็ยังไม่ยุ่ย และคงความ Juicy อยู่
เบอร์เกอร์ที่เรากินไม่ใส่ซอสมะเขือเทศเลย ใส่แค่ผักกาดแก้ว และมายองเนสนิดหน่อย มีเนื้อบดเป็นเนื้อไทยเฟรนช์แน่น ๆ และเบคอนชิ้นโต ที่สั่งพิเศษ หนา และยาวสะใจสุด ๆ



ซดน้ำร้อน ๆ ให้คล่องคอด้วย Tom-Saab wagyu A5 (990 บาท) ขอยกให้เป็นต้มแซ่บที่ถูกต้อง เพราะหอมแซ่บถึงเครื่อง มีความกลมกล่อม เผ็ดกำลังดี
เมนูนี้จะเสิร์ฟเนื้อวากิว A5 ลายหินอ่อนสวย ๆ วางพาดอยู่ในถ้วย และมีน้ำซุปต้มแซ่บร้อน ๆ ให้มาเทได้ฟีลเมนูอาบน้ำเนื้อ และยังมีมันเนื้อส่วนที่ตัดแต่งจากเนื้อใหญ่เอามาเพิ่มความอูมามิให้กับซุป ตัวมันเนื้อกับรสต้มแซ่บเข้ากันมาก ๆ
no chef ไม่พอ no barista ด้วย

สำหรับบาร์กาแฟ ก็มาในคอนเซปต์ no barista ด้วยแนวคิดเดียวกัน เพราะเรื่องกาแฟก็ self-learn และเลือกเมนูที่ชอบเหมือนกัน จะเน้นเมนูคลาสสิค ไม่หวือหวาแต่เราลองชิมกาแฟแล้ว บอกเลยว่าดีไม่แพ้ร้านกาแฟจริงจัง เพราะทางร้านเลือกเป็นบราซิล กลางค่อนเข้ม ที่ให้รสชาติไม่เปรี้ยวมาก หวานนิดหน่อย และเข้มนิด ๆ ไม่ถึงกับขม กำลังดีเลย


และยังมี Cold brew จากร้านคาเฟอีน มาวางให้เลือกกัน ที่เลือกมาเพราะเป็นเมล็ด Specialty ที่น่าสนใจ ได้ชิมมาแล้วชอบ เลยอยากให้คนได้ดื่มกาแฟดี ๆ ในราคาย่อมเยาบ้าง
และที่นี่ยังจะเป็นร้านที่ที่มีแอลกอฮอล์พร้อมเสิร์ฟเป็นที่แรก แต่ไม่ใช่บาร์นะ เน้นเป็นไวน์ให้มา Paring กับอาหารมากกว่า มีทั้งยุคเก่า ยุคใหม่เลยนะ

เราได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าด้วยความที่ ร้าน no chef ตอนนี้อาจจะไกลจากในตัวเมือง และเดินทางยากสักหน่อย เลยกำลังมองหาสถานที่ใหม่อยู่ด้วย ระหว่างนี้ใครอยากลองชิม แวะไปที่ กาญจนาภิเษก 39 ก่อนได้เลย ยังไงรออัปเดตจากทางร้านอีกทีนะ
no chef
เปิดอังคาร – ศุกร์ 10:30 – 22:00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 08:30 – 22:00 น.
โครงการวีด้า เจมโมฯ กาญจนาภิเษก 39
มีที่จอดรถ
Google Maps