กรุงเทพฯ บ้านเรารู้จักกับบาร์จิ้งจอกเก้าหางมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ในย่านลาดพร้าว (ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่หลายคนชอบแวะเวียนอยู่เนือง ๆ) ในชื่อ Ninetails Bar And Booster แต่วันนี้พวกเขามีสาขาใหม่ ที่บุกย่านกลางเมือง (แบบสุด ๆ) บนเส้นวิทยุ ที่เด่นทั้งบรรยากาศ และอาหารกับเครื่องดื่มไม่แพ้สาขาแรก กับ Ninetails On Radio (ไนน์เทลส์ ออน เรดิโอ) ที่เพิ่งเปิดเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา
สาขาที่สองนี้จะตั้งอยู่ในอาคารขนาด 4 คูหา ซอยข้าง ๆ อาคาร All Seasons Place เลย หากแวะเวียนมาในยามค่ำคืน เราจะเห็นแสงไฟหลากสีส่องสว่างลอดกระจกใสออกมาเชื้อชวนให้เราขึ้นไปหากลุ่มแสงนั้น ตัวร้านจะกินพื้นที่ตั้งแต่ชั้น 3-5 โดยชั้น 3 จะเป็นโซนคาเฟ่ (ที่เร็ว ๆ นี้จะเปลี่ยนเป็น Yummy Foxy ร้านยำนางจิ้งจอก ให้สายแซ่บแวะมาโซ้ยกันเพลิน ๆ อีกด้วย) ส่วนชั้น 4-5 จะเป็นพื้นที่บาร์ โดยชั้น 4 จะเป็นตัวร้านอินดอร์ฟีล Glassroof และชั้น 5 จะเป็นส่วนของรูฟท็อป
ที่บอกว่าชั้น 4 นั้นมาฟีลกลาสรูฟ นั่นเพราะทางร้านเขาทำเก๋มาก ๆ ด้วยการเปลี่ยนหลังคาบ้านปกติใหม่ทั้งหมดให้เป็นกระจกใสแบบเปิดโล่ง แดดร่มลมตก เราจะมองเห็นท้องฟ้ากรุงเทพในมุมกว้างที่ล้อบรอบด้วยตึกสูงในย่านกลางเมืองแบบนี้แบบแปลกตามาก ๆ จุดนี้เราถึงกับต้องจับตัว คุณแนน – ธณัฏฐา อนุวงศ์พินิจ หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านเครือ Ninetails มาถามถึงความตั้งใจนี้สักหน่อย
“ด้วยโลเคชั่นที่มาตั้งอยู่บนถนนวิทยุ จึงขอเล่นคำกับชื่อถนน (และยังเป็นที่มาของชื่อร้านสาขานี้อีกด้วย) การนำเสนอของตัวร้านจึงหยิบเอาเรื่องราวของ “เฮิร์ตคลื่นวิทยุ” ที่มีหลายช่องความถี่ หลากความแตกต่าง มาเล่นด้วย”
Routeen. ขอแชร์ทริคเดินทางที่ ง่าย สะดวก สบาย และราคาดี ไม่ต้องคอยกังวลหาที่จอดรถ กินดื่มได้ไม่มีลิมิต กับ TADA Thailand แอปพลิเคชันเรียกรถน้องใหม่ จากสิงคโปร์ ที่มีจุดขายคือ ไม่ชาร์จค่าคอมมิชชั่น คนขับได้รับเงินเต็ม ๆ “ทำให้คนขับไม่เครียด เต็มที่ทุกการเดินทาง และคนนั่งได้ราคาที่เป็นมิตร” ซึ่งในสิงคโปร์ TADA เติบโตขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของตลาดเรียกรถเลย
ปัจจุบัน TADA มีบริการ 4 ประเภท คือ AnyTADA / Economy / Economy Large และ Premium (เร็ว ๆ นี้จะมีรถจักรยานยนต์ให้บริการด้วย) เข้าถึงง่าย ใช้งานไม่ยุ่งยาก สะดวก คุ้ม ทุกการเดินทาง โหลดแอปฯ ติดเครื่องไว้เลย ที่ TADA ที่สำคัญ กรอกโค้ด ROUTEEN ลดทันที 80 บาท (3 สิทธิ์/ผู้ใช้งาน) บอกเลย “เรียกรถกับทาดา สะดวกกว่าเยอะ!”
คุณแนนบอกกับ Routeen. ว่า ที่ตัดสินใจเปลี่ยนส่วนหลังคาให้เป็นกระจก ก็เพราะหุ้นส่วนทุกคนคิดกันว่า “ไหนๆ ตัวร้านก็อยู่ชั้น 4 แล้ว ทำไมไม่ทำให้เป็น rooftop ทั้งชั้นไปเลยล่ะ” แต่ติดที่บ้านเราอากาศค่อนข้างร้อน จึงปรับให้เป็นหลังคากระจกให้ฟีล Rooftop ผสม Glass house ที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ แต่ยังได้ความรู้สึกเหมือนอยู่รูปท็อปอยู่ อีกทั้งเหล่าชาวออฟฟิศก็น่าจะนั่งในตึกมาตลอด คิดว่าการได้มองวิวสวย ๆ ในมุมกว้าง น่าจะช่วยฮีลพวกเขา และพักสายตาได้บ้าง
ถึงอย่างนั้น ทางร้านก็ยังต่อเติมขึ้นไปเป็นชั้น 5 ให้มีพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับใครที่ชอบรับลมธรรมชาติจริง ๆ ก็ยังมีโซนรูฟท็อปแท้ ๆ ให้ขึ้นไปนั่ง มาพร้อมกับป้ายไฟสีแดง “Wish You Were Here” ที่คล้ายจะเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของ Ninetails on Radio ไปแล้ว
หากเทียบงานตกแต่งแล้วก็ต้องบอกว่ามีทั้งส่วนที่คล้ายคลึงและต่างกับสาขาแรก โดย Ninetails on Radio นี้จะไม่ได้มาในรูปแบบบาร์สไตล์จีน ที่ตกแต่งออกในโทนสีแดงคล้ายกับผู้ที่เข้ามากำลังต้องมนต์เสน่ห์ของนางจิ้งจอก แต่ด้วยโลเคชั่นที่มาตั้งอยู่บนถนนวิทยุ จึงขอเล่นคำกับชื่อถนน (และยังเป็นที่มาของชื่อร้านสาขานี้อีกด้วย) การนำเสนอของตัวร้านจึงหยิบเอาเรื่องราวของ “เฮิร์ตคลื่นวิทยุ” ที่มีหลายช่องความถี่ หลากความแตกต่าง มาเล่นด้วย
อย่างแรกที่เห็นคือความต่างของร้านในช่วงกลางวันและกลางคืน ในชั้น 3 ก็จะเป็นพื้นที่ที่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับในช่วงกลางวัน มีทั้งคาเฟ่ เครื่องดื่ม และเมนูยำแซ่บ ๆ ไว้คอยบริการ ส่วนกลางคืนก็ขึ้นมาที่ชั้น 4-5 ที่ได้ไวป์แตกต่างกันเลย เหมือนคลื่นวิทยุที่มี AM/FM ที่นี่ก็มีบรรยากาศแบบ AM/PM ให้นั่นเอง
ส่วนบรรยากาศในชั้น 4 ก็ได้หุ้นส่วน 2 คนที่เป็นสายดีไซน์ ชอบงานออกแบบอยู่แล้วมาช่วยกันดู นอกจากการเปลี่ยนหลังคาให้เป็นกระจกแล้ว ภายในก็มีการปรับปรุงพื้นที่ใหม่หมด ทุบกำแพงให้ทั้ง 4 คูหาเชื่อมกัน เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ตั้งแต่โซฟาขนาดใหญ่ (แบบเอนหลังนอนได้เลย) ไปจนถึงเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์เก๋ ๆ ก็ถูกหยิบนำมาใช้เช่นกัน ย้อมตัวร้านทั้งหมดด้วยหลอดไฟที่เปลี่ยนสีสันไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ
มาพร้อมกับเคาน์เตอร์บาร์แบบไอส์แลนด์กลางร้าน เพื่อให้เข้าถึงง่าย บวกกับพนักงานเองก็จะได้มองเห็นลูกค้ารอบด้าน ดูแลได้ทุกมุม และยังช่วยให้สามารถแบ่งแยกโซนนั่งให้มีความหลากหลายได้ง่ายขึ้น ใครอยากออกสเตป อยากดูนักดนตรีก็มาโซนด้าหน้า หรือใครอยากไพรเวทขึ้น มาเป็นคู่รักอยากจู๋จี๋ก็นั่งโซนด้านหลังได้ สมตามคอนเซปต์คลื่นวิทยุที่มีความหลากหลาย
แน่นอนว่าคอนเซปต์ของเฮิร์ตวิทยุก็ถูกส่งมายังค็อกเทลของทางร้านด้วย โดยหยิบเอา Control Bar ของเครื่องเล่นดนตรีมารังสรรค์เป็นเครื่องดื่ม กับ Rewind / Play / Pause / Forward และ Stop ส่งออกมาเป็นเครื่องดื่ม 5 ตัวตามเครื่องหมายเหล่านี้
เราลอง Wireless Elixir (320 บาท) เครื่องดื่มที่ได้ไอเดียมาจากเครื่องหมาย Forward แก้วนี้เบสจะเป็น Local Brandy เจอกับ Absolut Rasberri Vodka เพิ่มความเบอร์รี่ด้วย Strawberry Vanilla Syrup กับ Bitter แล้วท็อปด้วยโฟมไข่ขาวเพิ่มความนุ่ม ตกแต่งเครื่องหมาย Forward เข้าไปเพิ่ม แก้วนี้เปรี้ยวหวาน ได้รสขมปลาย แต่ยังดื่มง่ายและลื่นคอ พร้อมไปต่อกับแก้วต่อไปตามคอนเซปต์
เลยขอจัดหนักกับ Skyscraper (350 บาท) กันเลย กับเครื่องดื่มที่มิกซ์มาจากเครื่องหมาย Pause กับ Broker Pink Gin, Blue Curacao และ Absinthe เติมรสด้วยมะนาว ไซรัป และพูเรยุซุ เห็นสีสวย ๆ แบบนี้แต่แรงพอตัว ยังได้ความฟรุ๊ตตี้มาช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น เรียกว่าเป็นแก้วหยุดของใครหลายคนได้เลย (ไม่อยากจะคิดว่าแล้วแก้ว Stop จะขนาดไหนน้า)
นอกจากเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ทั้ง 5 แล้ว ที่นี่ยังมี Red Plum Cocktails กับอุเมะชูโฮมเมดที่น่าลองไม่แพ้กัน เราลองเป็น Red Plum Martini (260 บาท) ที่หยิบเอาอุเมะชูโฮมเมดมามิกซ์กับ Vermouth ได้รสเช้ม แต่ยังหอมหวานจากอุเมะชู มาพร้อมเม็ดบ๊วยแดงแทนมะกอก
นอกจากเครื่องดื่ม เรื่องอาหารที่นี่ก็เด็ดดวงไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะเมนูยำที่ต้องบอกว่า แทบจะกลายเป็นพระเอกของทางร้านไปแล้ว (ไม่แปลกที่จะขยายเป็นร้านยำไปโดยเฉพาะเลย) เราจึงอดใจไม่ได้ที่จะไม่สั่งมาลอง โดยยำของทางร้านจะสามารถเลือกน้ำยำสูตรพิเศษได้ 3 แบบ ทั้งแบบน้ำยำปลาร้า น้ำยำน้ำปลา และน้ำยำกะปิ รวมถึงสามารถเลือกความเผ็ดได้ 5 ระดับตามชอบ
เริ่มที่ ยำมาม่าหมูสามชั้นทอด (180 บาท) เราเลือกเป็นน้ำยำน้ำปลามามาลอง กับความเผ็ดมาตรฐาน ยำมาม่าเครื่องแน่น โรยกากหมูเจียวใหม่หอมกรอบสนั่น ท็อปด้วยสามชั้นทอดกรอบนอกนุ่มในเต็มชิ้น น้ำยำสูตรน้ำปลานัว ๆ รสเปรี้ยวหวาน เค็มตาม จัดจ้านถึงเครื่อง
ต่อกันที่ ยำเส้นเล็กหมูตุ๋น (160 บาท) จานนี้เปลี่ยนเป็นน้ำยำปลาร้า ต้องบอกว่าน้ำปลาร้านัวมาก ไม่เค็มและไม่มีกลิ่นเลย ใส่หมูตุ๋นที่ทางร้านตุ๋นเองแบบชิ้นใหญ่ ๆ กับเห็ดหูหนู ตัวเส้นเล็กลวกมาเหนียวหนึบกำลังดี ทิ้งไว้แล้วเส้นยังไม่จับเป็นก้อน ดูดน้ำยำได้ดี
อีกจานกับ ยำวุ้นเส้นโบราณ (155 บาท) ยำวุ้นเส้นสามรสแบบน้ำยำโบราณ ใส่หมูสับ หอมแดง ผักชีฝรั่ง โรยด้วยถั่วลิสงคั่วและหอมเจียว เป็นอีกหนึ่งตัวเล็กสำหรับคนที่ไม่ชอบยำสมัยใหม่ ก็อร่อยและรสจัดจ้านไม่แพ้กัน
นอกจากนี้ยังได้ลอง ข้าวหน้าหมูตุ๋นกะเพรากรอบ (175 บาท) และไก่ทอดสูตรพิเศษของทางร้าน ที่เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มสูตรเฉพาะถึง 3 แบบ ทั้งน้ำจิ้มไก่ แจ่วปลาร้า และน้ำจิ้มมัสตาร์ดสูตรพิเศษ ที่เป็นจานเคียง และเป็นได้แม้กระทั่งจานหลักของค่ำคืนได้เลย
Ninetail On Radio
เปิดทุกวัน (เว้นวันอาทิตย์) เวลา 11:00 – 01:00 น.
ถนนวิทยุ (ซอยข้าง All Seasons Place) ปทุมวัน
BTS เพลินจิต แล้วเดิน | จอดรถได้ที่ตึก All Seasons Place