ใครที่ชอบของวินเทจ งานดีไซเนอร์เจ๋ง ๆ จากยุคเก่า อยากให้ลองแวะมาที่ Le Space คาเฟ่ ที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านเอกมัย ที่ร้านนี้จะช่วยฟูลฟิลใจได้ไม่น้อยเลยล่ะ เพราะเค้ารวมของแรร์อย่างเฟอร์นิเจอร์ จากยุค Bauhaus เครื่องเสียงปีลึกที่เป็นที่หมายตาของนักสะสมอย่าง B&O และ Braun และยังเสิร์ฟขนม เครื่องดื่มบนจาน Fire King ที่ผลิตในช่วง 1950-1986
ความตั้งใจของ Le Space คือตั้งใจเป็นคาเฟ่ที่มีความแตกต่างจากที่อื่น เป็นคาเฟ่กึ่งแกลเลอรี หรือมิวเซียม ที่อยากให้คนที่มาได้มาเห็นโปรดักส์งานออกแบบต่าง ๆ ของทั้งดีไซเนอร์ไทยและต่างประเทศที่หาชมได้ยาก ซึ่งของที่โชว์เป็นของที่เลิกผลิตแล้วทั้งสิ้น เป็นความตั้งใจของคุณ เฮง – วธันน์ อาเชียน และคุณ ฉัตร-หฤษฎ์ ไชยวานิช
ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วเราตั้งใจมาคาเฟ่ Le Space ที่อยู่บนชั้น 2 ของบ้านหลังนี้ แต่โชคดีที่เราได้เจอกับคุณเฮง และคุณฉัตร เจ้าของร้านที่กวักมือเรียกเราให้มาฟังเรื่องราวของที่นี่ ซึ่งทั้งคู่บอกว่า ถ้าให้เล่า ก็ต้องเริ่มต้นจาก Back in time 94’s คลังแสงขายเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเสียงวินเทจที่อยู่ชั้นล่างของบ้านหลังนี้ก่อน
จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็น Le Space ต้องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของ Back in time 94’s ร้านขายเฟอร์นิเจอร์วินเทจที่เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญในช่วงโควิด
เดิมทีคุณเฮงเป็นไทยดีไซเนอร์ที่ทำแบรนด์เสื้อผ้าชื่อ Brother & Sis อยู่มายาวนานถึง 10 ปี มีช็อปในห้างหลายแห่ง จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้จากแบรนด์เสื้อผ้ามาสู่เฟอร์นิเจอร์ คือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างการระบาดของโควิด-19 ทำให้ห้างถูกปิด ผู้คนออกมาใช้ชีวิตไม่ได้ ทำให้ธุรกิจในห้างก็ต้องถอนออกมา ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทั้งมีโรงงาน ช่าง พนักงาน สู้มาได้สักระยะเลยตัดสินใจพักแบรนด์เสื้อผ้าไปก่อนเพื่อตั้งหลักใหม่อีกครั้ง
พอเริ่มว่างจากตรงนั้น คุณเฮงเลยมองหาความชอบอื่น ๆ มานึกถึงพาร์ทของสะสม เพราะเป็นคนชอบของวินเทจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากการสะสมของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างแก้วเซรามิก เชิงเทียน ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ซึ่งเป็นของดีไซเนอร์ทั้งหมด
ด้วยความที่จบมัณฑนศิลป์ – มหาวิทยาลัยศิลปากร เลยอยู่ในแวดล้อมที่เกี่ยวกับงานดีไซน์ออกแบบมาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่สมัยเรียนก็มีการศึกษาผลงานศิลปินเพื่อมาเป็นอิทธิพลในการออกแบบ ศึกษาโปรดักส์ต่าง ๆ ของดีไซเนอร์ทั่วโลก
คุณเฮงบอกเราว่าหนึ่งในดีไซเนอร์ที่ชอบมาก ๆ คือ Michael Thonet เป็นอาจารย์ช่างไม้ที่ดังมาก ๆ ในยุคหนึ่งในโลก เป็นคนริเริ่มคิดค้นเฟอร์นิเจอร์ไม้ดัด จากความชอบผลงาน ไปจนถึงเริ่มสะสมของจริงเลย
Back in time 94’s ธุรกิจที่เกิดจากแพชชัน
ตอนแรกตั้งใจเปิด Account Instagram ก่อน แค่อยากแชร์ของสะสมที่มีและเรื่องราวของดีไซเนอร์ที่ชอบ แต่ลงไปได้ไม่กี่ภาพ ก็เริ่มมีคนสนใจและทักเข้ามาขอซื้อ อาจจะเพราะช่วงโควิดคนอยู่บ้านมากขึ้น อยากแต่งบ้านสวย ๆ พอเห็นว่าตรงนี้มี Potential ที่ไปต่อได้ บวกกับของที่เก็บสะสมก็ค่อนข้างเยอะ เลยเกิดเป็นธุรกิจขึ้นมาชื่อว่า Back in time 94’s ขายเฟอร์นิเจอร์วินเทจ ตั้งแต่ของตกแต่งชิ้นเล็ก ไปจนถึงตู้ โต๊ะ เก้าอี้
ความยูนีคของ Back in time 94’s นอกจากจะเป็นของเก่าจริง ๆ งานดีไซเนอร์แท้ ๆ แล้ว ยังใส่ใจในดีเทล ด้วยความชอบสะสมเองอยู่แล้ว ของที่ปล่อยเลยไม่ใช่แค่ มีของ-ถ่ายรูป-บอกราคา-แล้วปล่อยขาย แต่เป็นการเล่าเรื่อง ที่มาที่ไปของโปรดักส์เป็นเรื่องราวที่ผ่านการรีเสิร์ชมาอย่างดีแล้ว คนที่ได้ของชิ้นนั้นก็จะได้รู้จักประวัติของแต่ละชิ้นมากขึ้น อินกับของชิ้นนั้นแบบที่คุณเฮงอิน (แอบเข้าไปส่งใน Instagram แคปชั่นเล่าสตอรี่แน่นมากจริง ๆ)
ผ่านไปราว ๆ ปีกว่า คุณเฮงอยากให้ร้านเติบโต และ Full Option มากขึ้น เลยชวนคุณฉัตรมาร่วม ซึ่งเป็นศิลปิน และซาวด์เอนจิเนียร์ ที่โดนผลกระทบช่วงโควิดเหมือนกันในตอนนั้น คุณฉัตรมองว่า นอกจากเฟอร์นิเจอร์ ลองมาทำเครื่องเสียงไหม มองว่าเฟอร์นิเจอร์กับเครื่องเสียงมีความไปด้วยกันได้ เพราะอย่างเครื่องเสียงที่เราขายอยู่ก็เป็นงานดีไซเนอร์ พอมีเครื่องเสียงมาเติมเต็ม ก็ทำให้ Back in time 94’s สมบูรณ์มากขึ้น ช่วยเติมเต็มส่งเสริมกันและกัน
“คนยุคนี้เล่นวินเทจ แต่หลัก ๆ ก็คือเฟอร์นิเจอร์และการฟังเพลง เราจะลิงก์ยังไงให้กับเฟอร์นิเจอร์ดีไซเนอร์ ก็คือเครื่องเสียงของเราต้องเป็นดีไซเนอร์หมดเลย เราจะไม่ขายเครื่องเสียงที่แบบทั่วไป เราขยายเฉพาะที่มองแล้วสวย มีเรื่องราว ฟังแล้วเสียงเพราะ องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ต้องครบ”
เครื่องเสียงหลัก ๆ ที่ขายจะมีแบรนด์ Bang & Olufsen หรือ B&O ที่สายเล่น Gadget รู้จักกันดีอยู่แล้ว แบรนด์นี้มีมาเกือบ 100 ปี โดดเด่นเรื่องดีไซน์และระบบ ได้ทั้งภาพลักษณ์และเสียงที่ดี อีกแบรนด์นึงเป็น เครื่องเสียงจากแบรนด์ Braun แบรนด์ที่รู้จักกันในนามเครื่องโกนหนวด หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แต่จริง ๆ มีมานานเกือบ 100 ปี ซึ่งเริ่มต้นมาจากการขายวิทยุโทรทัศน์
Braun โด่งดังมีตัวตนขึ้นมาด้วยงานดีไซน์ของ Dieter Rams – Chief Design Officer ของ Braun ที่มีงานออกแบบเป็นเอกลักษณ์ คือ Less and More น้อย เรียบง่าย ใช้ง่าย แต่เท่ ดูแพง และ Timeless ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยยังดูดี เป็นแบรนด์ที่ Inspired ให้กับดีไซเนอร์ของ Apple ในยุคแรก ๆ จนถึงทุกวันนี้
สำหรับเครื่องเสียงวินเทจของที่ร้าน ก่อนจะรับหรือหามา มีเงื่อนไขคือต้องสวยเกิน 90% และไม่มีการดัดแปลงใด ๆ แต่ทางร้านจะมีการซ่อมแซมระบบหรือรีเช็กก่อนที่จะขายให้ ช่วยปลุกคุณปู่ให้กลับมาเนี้ยบเหมือนในยุคนั้น โดยที่คาแรกเตอร์เหมือนเดิม
สิ่งที่เป็นพอยต์หลักคือ ดอกลำโพงต้องเดิม แอมป์เดิม หลอดเดิม แต่ชิปส์เล็ก ๆ สามารถเปลี่ยนได้เพื่อส่งผลต่อเสียง เบสกลางแหลมให้ออกมาเหมือนเดิม พร้อมทั้งทำสายบลูทูธให้ด้วย (โดยไม่ได้โมอะไรเลยนะ) ไม่ว่าจะ 40 หรือ 50 ปีก็สามารถฟังได้ทั้งสตรีมมิ่งและแอนะล็อก
หลังจาก Back in time 94’s ขายทางออนไลน์มาได้สักระยะ พอมีพาร์ทของเครื่องเสียงเข้ามา ก็เลยเริ่มมองหาหน้าร้าน เพื่อที่ลูกค้าจะได้เข้ามาเจอของจริง ฟังเสียงจริง จนมาเจอบ้านหลังนี้ที่มีอายุ 40-50 ปี เป็นโครงสร้างเดิม ๆ ซึ่งทั้งคู่มองว่าบ้านหลังนี้มาคาแรกเตอร์เข้ากับที่นี่ เพราะอายุบ้านกับอายุของที่ขายพอ ๆ กัน เป็นบ้านไม้ทั้งหลังจั่ว คานไม้ บันได มุม โค้งต่าง ๆ เป็นของเดิมทั้งหมด
“Environment ของ Back in time 94’s ที่ตั้งใจ อยากจะให้โปรดักส์ของเราได้มาอยู่ในสเปซ ๆ หนึ่ง เราก็เลยมองว่าตรงนี้เป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด ของของเราเป็นงานวินเทจ บ้านก็ควรที่จะต้องส่งเสริมกันและกัน”
Le Space คาเฟ่ ของนักสะสม
หลังจาก Back in time 94’s เปิดมาได้ประมาณ 5 ปี คุณเฮงกับพี่สาวก็คุยกันถึงอีกพาร์ทหนึ่งที่อยากทำมาตลอด คืออยากมีคาเฟ่เป็นของตัวเอง เดิมทีพี่สาวคุณเฮงชอบดื่มกาแฟมาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่ใช่แค่ชอบดื่มธรรมดา แต่ดื่มแล้วพยายามจะวิเคราะห์ในกาแฟ และได้ไปเรียนรู้เรื่องกาแฟกับแชมป์บาริสต้ามาด้วย แวดวงกาแฟก็เป็นเพื่อน ๆ กัน เลยตัดสินใจลองทำดูในสเปซชั้น 2 ที่ว่างอยู่พอดี ชื่อ Le Space (เลอ สเปซ)
เดิมชั้น 2 เคยแบ่งห้องเป็น Airbnb พอพื้นที่ว่างเลยเลือกทำคาเฟ่ ด้วยความที่พื้นที่ค่อนข้างจำกัดเลย โจทย์เลยเป็นการเอาข้อจำกัดนั้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด อย่างเสาเอาออกไม่ได้ก็สร้างโต๊ะกลมบิ๊วอินล้อมเสาขึ้นมา ฝั่งโชว์ของก็ทำชั้นติดผนัง เป็นการทำอย่างไรก็ได้ให้พื้นที่ที่มีอบอุ่นและรองรับคนได้มากที่สุด เป็นความท้าทายในสเปซเล็ก ๆ
ในส่วนของการออกแบบร้าน ดีไซน์กันเองทั้งหมด รวมถึงการใช้สี Mood&Tone ในร้าน Inspired มาจากยุคของ Bauhoas เป็นโรงเรียนสอนออกแบบดีไซน์ที่เยอรมัน สร้างศิลปินที่เก่ง ๆ ไว้มากมาย คาแรกเตอร์ของ Bauhoas คือมีการใช้สีที่เรียบง่ายอย่างแม่สีที่ตรงไปตรงมา ในร้านก็จะเห็นแม่สีต่าง ๆ อย่างโปรดักส์โคมไฟ รวมถึงภาพเพนท์ที่เอามาโชว์ ซึ่งคุณเฮงเพนท์เองด้วยนะ โดยการใช้สีที่เหลือจากการทำร้านมาครีเอตเป็นภาพอาร์ตเก๋ ๆ
อย่างที่เราเล่าไปตั้งแต่แรก ว่าความตั้งใจของที่นี่ ตั้งใจทำให้เป็นกึ่งมิวเซียม/แกลเลอรี เพราะไม่ได้อยากจะให้คนมาแค่ดื่มกาแฟ ทานขนม ถ่ายรูปแล้วกลับบ้าน แต่อยากจะให้คนที่มาได้มาเห็นโปรดักส์งานออกแบบต่าง ๆ ของทั้งดีไซเนอร์ไทยและต่างประเทศที่หาดูได้ยาก ของที่โชว์ในชั้นก็ไม่มีผลิตแล้วในปัจจุบัน จะเห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์
“ทุกชิ้นที่วางบนนั้นเป็นเลเวลที่เราไม่ได้ขายแล้ว เป็นของสะสมเราที่หามาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงอายุ 40-50 ปี สมัยสงคามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นแบรนด์ดังที่ทุกวันคนก็ยังรู้จักอยู่อย่าง B&O”
โต๊ะเก้าอี้ทุกตัวคืองานวินเทจของดีไซเนอร์ทั้งหมด รวมไปถึงจานชามที่ใช้ โดยจะใช้แบรนด์ Fire King ที่ผลิตในช่วง 1950-1986 เป็น Made in USA ที่ปัจจุบันไม่มีผลิตแล้ว (แต่ลิขสิทธิ์ย้ายไปที่ญี่ปุ่นแทน ที่เราเห็นในญี่ปุ่นเลยจะเป็น Made in Japan) เป็นของสะสมที่มีเยอะมาก ๆ จนอยากเอามาแบ่งปัน ทั้งใช้ในร้านรวมถึงวางขาย ส่งต่อให้กับคนที่อยากสะสมเหมือนกัน
เราจะได้กินดื่มบนจานสี Jade-ite รุ่นที่หลายคนคุ้นตาจากภาพยนตร์เรื่อง In the Mood for Love ของ หว่อง กาไว นั่นเอง ความพิเศษของแก้ว Fire King นอกจะสวยแล้ว ยังมีคุณสมบัติหลัก ๆ คือเป็นเนื้อนมที่สามารถควบคุมอุณหภูมิของกาแฟและน้ำได้ดีอีกด้วย
และแน่นอนว่าเราจะได้ฟังเพลงจากเครื่องเสียงที่คัดสรรมาแล้วว่าดี โดยจะสลับระหว่าง B&O ยุคดิจิทัลปี 2011 และเครื่องเสียงคุณปู่อายุ 60 ปี เปิดแผ่นกันสด ๆ นอกจากจะสวยแล้วยังได้ฟังเสียงจริง ๆ จากยุคนั้นจริง ๆ ด้วย เป็นไวบ์ที่ทั้งคุณเฮงและคุณฉัตรอยากให้เกิดขึ้นในสเปซเล็ก ๆ แห่งนี้
ชิมขนมจากเชฟฝรั่งเศส จิบเครื่องดื่มที่ Le Space คาเฟ่
ในส่วนของเครื่องดื่มและขนม ก็จริงจังไม่แพ้ของสะสมเลย เพราะที่นี่มีเบเกอรีทำเอง โดยมีเชฟที่ไปเรียนทำขนมที่ฝรั่งเศสและใช้ชีวิตยาวนานหลายสิบปีมาช่วยคิดสูตรให้ รสชาติแต่ละเมนูวางคาแรกเตอร์ให้ไม่ซ้ำกัน มีทั้งเปรี้ยว หวาน สดชื่น ส่วนเมล็ดกาแฟ ก็เลือกใช้เมล็ดจากเทพเสด็จ เชียงใหม่ เพราะเดิมที่ทั่งคู่เป็นคนเชียงใหม่ เลยมีโอกาสขึ้นไปที่ไร่เลย พูดคุย เลือกเมล็ดกัน ส่งให้โรงคั่วที่สนิทกัน ออกมาเป็น House Blend เบสมีคั่วกลาง ที่คนชอบคั่วอ่อนก็ดื่มได้
เครื่องดื่มเราลองเมนูแฟนซีอย่าง ยูซุโซดาเอสเปรสโซ่ (140 บาท) ยูซุมีความหอมหวานฉ่ำได้รสเต็ม ๆ เข้ากับกาแฟที่ไม่อ่อนไปและไม่ขมโดดจนกลับรสยูซุ ออกโทนเปรี้ยวหวานเข้ากันดี และมีโซดาช่วยเพิ่มความสดชื่นยิ่งขึ้นไปอีก เมนู Non-coffee ก็มีนะ เราเลือก โกโก้เย็น (130 บาท) แก้วนี้เป็นสูตรไม่หวานมาก มีเนื้อช็อกโกแลตโรยอยู่ เพิ่มเทกเจอร์ในการเคี้ยวนิด ๆ ดื่มได้เรื่อย ๆ ไม่เลี่ยน
ส่วนตัวเมนูขนมเราได้ลอง เลมอนชีสเค้ก (120 บาท) เนื้อหนึบแน่น หอมเนยในปาก ตัดกับเลมอนรสเปรี้ยวหวานหอม และความกรุบ ๆ แบบครัมเบิ้ลช็อกโกแลตที่ฐาน ทำให้รสชาติบาลานซ์กันดี ไม่หนักไปทางใดทางหนึ่ง กินเพลินมาก ๆ
Le Space คาเฟ่ เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่จัดสรรสเปซออกมาได้ดี และดูสวย มีเสน่ห์ถูกใจสายฮอปปิ้งแน่ ๆ ส่วนใครที่ชอบของวินเทจไม่ผิดหวังอยู่แล้ว เพราะของโหดจริง ส่วนใครที่สนใจเฟอร์นิเจอร์วินเทจ หรือเครื่องเสียงดี ๆ ที่มีดีไซน์สวย ๆ สักตัว ลองสอบถามที่ Back in time 94’s ได้เลย แนะนำว่านัดหมายเข้าไปก่อน เพื่อที่ทางร้านจะได้เตรียมของที่ถูกใจไว้ให้เลือก และไม่ต้องกลัวว่าจะ Hard sell นะ เพราะเค้าแค่อยากให้เราได้เห็นของจริง และฟังเสียงจริง ๆ ก่อนตัดสินใจเท่านั้นเอง
Le Space คาเฟ่
เปิดทุกวัน (เว้นวันอังคาร) 09:00 – 18:00 น.
เอกมัย ซอย 4
BTS เอกมัย แล้วเดินต่อเล็กน้อย | มีที่จอดรถ
Google Maps