ทรงวาด คึกคักไม่พักเลยจริง ๆ เพราะล่าสุดเราต้องต้อนรับอีกหนึ่ง บาร์ ที่จะมาทำให้ย่านนี้สนุก และต้องมาร์กเอาไว้ว่า สำหรับสาย Bar Hopping แล้ว อาจจะต้องบรรจุ บาร์ แห่งนี้ลงลิสต์เอาไว้ด้วย เพราะนี่คือ Standing Bar ที่เหมาะกับการแวะมาจัดคนละแก้วแบบกรุบกริบ (หรือจะอยู่ยาวทั้งคืนก็ยังได้) แถมยังพิเศษด้วยการเป็น Agave Bar ที่เครื่องดื่มใช้ Agave (อากาเว) เป็นหลัก กับ La Copita

La Copita ดึงดูดเราตั้งแต่ตอนที่เราเดินผ่านหน้าร้านในเส้นเยาวพานิชยามค่ำคืน (หลังจากที่ไปสนุกที่ Opium ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเพียงหนึ่งหัวโค้ง) ท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงบ
กลับมีแสงไฟสีส้มทะลุออกมาจากประตูผ่านห้องแถวขนาดเล็ก ๆ เพียง 2×6 เมตร พร้อมเสียงเซ็งแซ่ที่เชื้อเชิญให้เราเงื้อหน้าเข้าไปมองว่าข้างในกำลังกันขนาดไหน จนอดไม่ได้ที่จะต้องแวะมาอีกครั้งในวันถัดมา

คุณเค – อานนท์ ฮุนตระกูล เจ้าของ La Copita แห่งนี้บอกกับ Routeen. ว่า จริง ๆ แล้วไอเดียการทำ Standing Bar เกิดขึ้นจากการเดินทางแล้วพบกับ บาร์ ประเภทนี้จากในโตเกียว (แถวย่านกินซ่า) และออสเตรเลีย (ซิดนีย์) อย่างที่ซิดนีย์ คุณเคได้แวะร้าน Cantina OK!
ซึ่งเป็น Agave Bar ไซซ์จิ๋ว แล้วติดใจในบรรยากาศของความใกล้ชิด ความสนุก ความน่ารักของไซซ์ร้าน ไปจนถึงการดูแล บาร์ เพียงคนเดียว เมื่อมีแพลนที่จะเปิด บาร์ อีกแห่ง จึงอยากทำเป็น Standing Bar ขนาดเล็กแบบนั้นบ้าง

“ตอนที่ทำ Opium Bar เราเน้นเครื่องดื่มผ่านคอนเซปต์อย่าง Serenity ที่ทำให้เครื่องดื่มมันซับซ้อน ดื่มเข้าไปแล้วต้องเซอร์ไพรส์ ไปจนถึงเมื่อเราตั้งอยู่เหนือร้าน Potong ก็ต้องยิ่ง Service ให้ถึงเท่ากัน
คราวนี้เราพบว่า บางครั้งลูกค้าที่แวะมา Opium Bar ก็ไม่ได้ต้องการเข้าถึงลุ่มลึกขนาดนั้น อยากเพียงแค่แวะมาดื่มแล้วก็ไป จึงอยากทำ บาร์ อีกแห่งที่ตอบรับเทรนด์ Hopping แบบนี้ขึ้นมาด้วย”

ที่นี่เรียกว่าเป็นศูนย์รวมของ Agave Spirit ที่จริงจังอีกแห่งของไทย นอกจากเตกิลา ที่หลายคนรู้จักกันแล้ว ก็ยังมีอีกหลายตัวที่เราไม่คุ้น อาทิ Sotol, Bacanora, Pistola หรือ Agavepura หรือตัวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าใครมาที่ La Copita แล้วมองหา Gin วิสกี้ หรือวอดก้า อาจจะต้องคอตกกลับไป (แต่อย่ากลับไปเฉย ๆ ลอง Agave Spirit ก่อนดีกว่านะ)

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: จริง ๆ แล้ว Spirit ตัวอื่น ๆ ที่ไม่ได้เรียกว่า Tequila แต่กระบวนการการผลิต ไปจนถึงการใช้ Agave ในการผลิต ก็ยังมีอีกหลายตัว แต่ด้วยชื่อเรียกของเตกิลา ถูกคุ้มครองโดยรัฐบาลของเม็กซิโก ว่าหากเครื่องดื่มนั้นไม่ได้ถูกผลิตในเม็กซิโก ก็จะไม่สามารถเรียกว่า เตกิลา ได้ โดยจะถูกเรียกว่า Agavepura (ที่แปลว่า Agave Spirit) แทน |

แล้ว Agave (อากาเว) คืออะไร? Agave คือพืชสกุลเดียวกับว่านหางจระเข้ ที่บ้านเราเองเคยฮิตนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันช่วงหนึ่ง แต่สำหรับที่เม็กซิโก และอเมริกาแล้ว นี่คือวัตถุดิบหลักในการผลิตเตกิลา และน้ำตาล โดยพันธุ์ของ Agave ที่นิยมนำมาทำเตกิลา คือ Blue Agave ที่มีในเม็กซิโกเท่านั้น
“เมนูที่นี่จะมีคลาสสิกค็อกเทลอยู่ 7 ตัว และอีก 5 Regular Signature ที่ได้ทีมจาก Opium Bar มาช่วยกันรังสรรค์ แต่ที่พิเศษยิ่งกว่านั่นคือที่นี่ยังมี Weekly Bartender ที่จะสลับสับเปลี่ยนกันไปทุก ๆ สัปดาห์ โดยจะมี 3 เมนูพิเศษจากบาร์เทนเดอร์ที่วนเวียนกันเข้ามาได้ลองเพิ่มเติมด้วย”


ตัวร้านเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจากตอนที่ได้ไปเมืองวาฮากา ประเทศเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นเมืองต้นกำเนิดของ Mezcal ร้านส่วนใหญ่จะมีสีสันออกส้ม แดง ที่เป็นสีมาจากธรรมชาติของดิน หิน ทราย ตัวร้านหยิบเอาทรายสีมาใช้ตกแต่งผนัง เพดานทรงโค้ง
ล้อไปกับประตูทรงเตี้ยที่มีซุ้มโค้งด้านบน มาพร้อมเคาน์เตอร์ยาว ที่ให้เราได้ยืนจิบเครื่องดื่มได้ตามใจ (ด้านล่างมีที่แขวนกระเป๋าให้พร้อม) เรียงรายไปด้วย Agave Spirit มากมายอยู่บนผนัง ยังมีไม้สำหรับตัดต้น Agave ของจริงตกแต่งให้เราได้เห็น


นอกจากนี้ที่นี่ยังเลือกใช้แก้ววินเทจทั้งหมด โดยมาจากทั้งบาร์ที่กำลังจะปิดตัว แม้กระทั่งโกดังมือสอง ที่คุณเคไปคุ้ยไปค้นมาเอง เพราะหลายครั้งที่ บาร์ จะต้องเปลี่ยนแก้วเมื่อเปลี่ยนเมนู แก้วเดิมที่เคยใช้ก็จะต้องปลดประจำการกันไป ด้วยความที่ La Copita เป็น บาร์ ที่สนุก ไม่ซีเรียส จึงหยิบเอาแก้วที่ยังสวยอยู่เหล่านี้มาใช้ต่อ และชื่อว่า La Copita ก็หมายถึง แก้วใบเล็ก ๆ อีกด้วย

ส่วนเมนูที่นี่จะมีคลาสสิกค็อกเทลอยู่ 7 ตัว และอีก 5 Regular Signature ที่ได้ทีมจาก Opium Bar มาช่วยกันรังสรรค์ แต่ที่พิเศษยิ่งกว่านั่นคือที่นี่ยังมี Weekly Bartender ที่จะสลับสับเปลี่ยนกันไปทุก ๆ สัปดาห์ โดยจะมี 3 เมนูพิเศษจากบาร์เทนเดอร์ที่วนเวียนกันเข้ามาได้ลองเพิ่มเติมด้วย
โดยสามารถเช็กว่าสัปดาห์นี้มีบาร์เทนเดอร์คนไหนมายืนเคาน์เตอร์บ้างได้ที่ป้ายหน้าร้านเลย ก็เป็นอีกหนึ่งความสนุกที่ทำให้เราแวะมา La Copita ได้บ่อยครั้งขึ้นอีก (หรือใครเป็นแฟนบาร์เทนเดอร์คนไหน ก็แวะเวียนตามตารางมาได้เรื่อย ๆ เลย)

คุณเคบอกว่า ที่จัด Weekly Bartender ขึ้นมา นั่นเพราะอยากเปิดโอกาสให้บาร์เทนเดอร์แต่ละคนลองรัน บาร์ ด้วยตัวเองดูบ้าง โดยจะมีทีมแบ็กอัปคอยช่วยเหลือ แต่หลัก ๆ แล้ว การจัดการต่าง ๆ แคชเชียร์ ไปจนถึงการสร้างไวป์ภายในร้าน ก็ให้เป็นสไตล์และความต้องการของบาร์เทนเดอร์ในสัปดาห์นั้น ๆ ได้เลย
เรียกว่าเป็น Training Ground ของเหล่าบาร์เทนเดอร์ เพื่อให้เป็นบาร์เทนเดอร์ที่ดีและเข้าใจขั้นตอนของการทำ บาร์ แบบรอบด้านมากขึ้น

และเมื่อบาร์เทนเดอร์ต้องเวียนกันมาที่ La Copita กันบ่อย จึงทำให้โลเคชันที่มองหาต้องอยู่ไม่ไกลจาก Opium Bar เพื่อเดินทางได้สะดวกด้วย จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงเลือกตั้ง บาร์ แห่งนี้ในย่าน ทรงวาด อีกครั้ง

ถ้าจะให้พูด เครื่องดื่มทุกตัวของที่นี่จะมีความ Cozy และเข้าใจง่ายกว่าที่ Opium Bar แต่ถึงจะไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลดมาตรฐานลงไปด้วย เราลองทั้ง Julie’s Pale Boy (360 บาท)
เครื่องดื่มสไตล์ไฮบอล ใช้ Pale Ale Beer ที่มีความขมและซ่า เติม Mango Pineapple Cordial และ Orgeat แต่งด้วยพริกเม็กซิกันที่ขอบแก้ว เป็นอีกแก้วที่ดื่มง่าย และพอยกจิบ ซามอยด์ที่ขอบแก้วรสเค็มเปรี้ยว ก็ช่วยดึงรสของเครื่องดื่มได้ดี


ต่อมากับ Plomo (330 บาท) เป็นหนึ่งในสองตัวของ Plata o Plomo ในลิสต์ของ Phu’s Signature ที่ช่วงที่เราไปมา เป็นเครื่องดื่มปั่นที่ใส่พริกเติมเผ็ดร้อนและเยลลี่ลงไปด้วย
ได้ความหอมหวานจาก Apricot Liqeur และความเปรี้ยวจากมะนาว ความเผ็ดอ่อน ๆ ของพริกจะกระจายไปทั่วกระพุ้งแก้ม และเป็นอีกหนึ่งแก้วที่ดื่มสนุกและเพลินไม่หยอก

Breakfast At J’s (390 บาท) แก้วนี้ประกอบไปด้วย Coffee Cold Brew ที่ใช้น้ำแตงโมแทนน้ำเปล่า ที่เหมือนกับเครื่องดื่มในตอนเช้า ใส่ Mezcal และ Black Lime จากอินเดีย ท็อปด้วย Sugar Sheet น้องจระเข้โลโก้ของทางร้าน เป็นแก้วเปรี้ยวหวานที่มีรสแตงโมมาตอนปลายหน่อย ๆ

ปิดท้ายด้วย Sipping With Tarn (390 บาท) เบสเป็น Mezcal เช่นกัน โดยนำไป Washed กับเนย ได้กลิ่นสโมกเล็กน้อย นัวนิด ๆ เติม Vermouth และ Chocolate Liqueur บอดี้แก้วนี้จะหนักขึ้นหน่อย และหวานกว่าแก้วอื่น ๆ

ส่วนใครที่มองหาอาหารเอาไว้แกล้มเครื่องดื่มแก้วที่สั่ง (แม้ว่าหนังไก่ปรุงรสที่เป็นสแน็กของทางร้านจะอร่อยเบรกแตกมาก ๆ ก็เถอะ) ก็ต้องบอกว่าทางร้านเองก็มีเมนูจากเพื่อนข้างบ้านมาคอยเสิร์ฟให้ รวมไปถึงห้องน้ำก็ไม่มีในบาร์นี้นะ หากต้องการเข้าห้องน้ำ จะต้องเดินไปใช้บริการที่วัดชัยภูมิการาม ซึ่งเดินประมาณ 3 นาทีก็ถึง
ความเจ๋งอีกอย่างของที่นี่คือราคาทั้งหมดเป็นราคาสุทธิ ที่ไม่มี Vat และ Service Charge แอบซ่อนอยู่ คุณเคแอบพูดติดตลกกับเราว่า ก็เพราะอยากให้ทุกอย่างมันง่าย ๆ คิดราคากันง่าย ๆ และร้านเล็กจนบางครั้งลูกค้าเองก็ต้องช่วยเก็บแก้วหรือแวะมาหยิบค็อกเทลที่สั่งด้วยตัวเอง จึงไม่มีค่าเซอร์วิสดีกว่า (ฮา)
La Copita Agave Bar
เปิดทุกวันพฤหัสบดี – จันทร์ (ปิดอังคาร – พุธ) เวลา 18:00 – 01:00 น.
ถนนเยาวพานิช ทรงวาด
MRT วัดมังกร แล้วเดิน | จอดรถได้ที่วัดชัยภูมิการาม (มีค่าจอด)