คิดไม่ออก บอกไปบรรทัดทอง คงไม่เกินจริง เพราะถนนเส้นนี้ไม่กี่ปีมานี้ป๊อบปูล่าสุด ๆ มีร้านอาหารเปิดใหม่แทบจะทุกประเภท และล่าสุดที่เราได้พาไปจิบค็อกเทลบาร์ลับ ๆ เปิดใหม่ที่เล่นกับกลิ่นมาเป็นคอนเซปต์ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งถ้าใครจำได้ ร้าน Kodo ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของอาคารพาณิชย์ที่ด้านล่างเป็นร้านข้าวหน้าเนื้อ ร้านนั้นคือ ร้าน Kemuri
ร้าน Kemuri เพิ่งเปิดใหม่เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราแอบเห็นว่าร้านคนแน่นตั้งแต่เริ่มเปิดใหม่ ๆ และวันที่เราไปจิบค็อกเทล ก็ต้องเดินผ่านร้านขึ้นไปที่ชั้น 3 กลิ่นเนื้อหอมอบอวลจนต้องกลับมาลองให้ได้ และโชคดีที่เราด้เจอกับ คุณอุ้ย – ศุภณัฐ ไพโรหกุล หนึ่งในเจ้าของร้านผู้ปลุกปั้นร้าน Kemuri ขึ้นมา (เจ้าของร้านอีกท่านคือ คุณกบ – ธรรมรัตน์ วัฒนวงศ์วรรณ) และทั้งคู่ก็เป็นผู้ถือหุ้นของร้าน Kodo ด้วยนะ
จุดเริ่มต้นของ Kemuri (เคะมุริ) คุณอุ้ยบอกเราว่า อาชีพประจำไม่เกี่ยวอะไรกับการทำธุรกิจอาหารเลย เพราะจริง ๆ เป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความชอบกินเนื้อ ทำให้มีโอกาสตระเวนกินเนื้อบ่อย ๆ บวกกับคุณกบที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมชอบกินเนื้อเหมือนกัน และคุณกบชอบทำอาหารด้วย เคยทำสุกี้ยากี้ที่อร่อยเมื่อ 6-7 ปีก่อน เลยมีความคิดว่าทำไมไม่เปิดร้านข้าวหน้าเนื้อกันเอง
พอมีโปรเจกต์ที่จะทำร้านกันขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจหาพื้นที่ จนมาเจอที่ตรงนี้บนถนนบรรทัดทอง ซึ่งไม่ไกลจากที่ทำงาน เป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น เดิมทีตั้งใจทำชั้น 1 – 2 เป็นร้านอาหาร และชั้น 3 เป็นสต๊อกเก็บของ แต่เมื่อรู้ว่าฝั่งที่ร้านอยู่สามารถขายแอลกอฮอล์ได้ ก็เลยเกิดอีกโปรเจคต์กับเพื่อน 7 คน ทำค็อกเทลบาร์ชื่อ Kodo
ร้าน Kemuri ใช้พื้นที่ชั้น 1 และ ชั้น 2 ส่วน Kodo อยู่ที่ชั้น 3 แบ่งกันอย่างชัดเจน แม้พื้นที่จะไม่มาก แต่จัดร้านได้ดีเลย มีทั้งโต๊ะกรุ๊ปใหญ่ โต๊ะกรุ๊ปเล็ก และมีบาร์สำหรับมาคนเดียวหรือสองคนก็นั่งได้ด้วยนะ สไตล์ร้านตกแต่งแบบมินิมอล เน้นสีไม้ มีกลิ่นอายญี่ปุ่น ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นก้อนถ่านเรียงรายอยู่ ตรงนี้เป็นกิมมิก ที่ตั้งใจสื่อสารให้รู้ว่าที่ร้านใช้ถ่านเป็นหลัก
“ชื่อร้าน Kemuri เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ควัน เพราะตั้งใจชูจุดขายของ Kemuri ที่ใช้ถ่านไม้ การย่างต่าง ๆ ที่เกิดควัน และคนคิดชื่อภาษาญี่ปุ่นให้ก็เป็นคนเดียวกันกับ Kodo ด้วย เลยดูไปในทางเดียวกัน ทั้งควัน และ เส้นทางของกลิ่น”
ที่เห็นว่าร้านมีกลิ่นอายญี่ปุ่น เพราะทั้งคุณอุ้ยและคุณกบ ต่างคนต่างไปเที่ยวญี่ปุ่นกันบ่อย ๆ ได้ชิมเนื้อมาหลายเมือง ด้วยความชอบเลยเอามาปรับทั้งการตกแต่งร้าน ไปจนถึงเมนู ซึ่งในเมนูจะแบ่งออกเป็นชุดข้าวหน้าเนื้อและชุดสุกี้ยากี้ สามารถเลือกชนิดของเนื้อได้ มีตั้งแต่ เนื้อ Brisket / เนื้อพรีเมียม Paleron (ใบพาย) / ลิ้นวัว / เนื้อวากิวเคะมุริ / พิคานย่า ไปจนถึง เนื้อวากิว A5 เลย
“คุณกบคิดสูตรเองทั้งหมด ทั้งซอส น้ำซุป เป็นสไตล์ญี่ปุ่น แต่ไม่ได้อิงมาจากเมืองใดเมืองหนึ่ง เพราะปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทยมากขึ้นด้วย พิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกเนื้อ ไปจนถึงวิธีหุงข้าวที่อร่อยพอดี กว่าจะได้ข้าวที่ถูกใจ ใช้เวลากว่า 3 เดือน”
คุณอุ้ยบอกเราว่า ร้านให้ความสำคัญกับข้าวมาก เพราะถ้าเนื้ออร่อย แต่ข้าวไม่อร่อยก็จะทำให้เสียรสเนื้อ ในขณะเดียวกัน ถ้าข้าวอร่อย ก็จะยิ่งส่งเสริมรสเนื้อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยข้าวที่ Kemuri เลือกใช้เป็น ข้าวโคชิฮิคาริจากเมืองนีงาตะ ปลูกในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีความเหนียวนุ่มกำลังดี เรียงตัวเป็นเม็ด ไม่แน่นเกินไป
อีกหนึ่งในไฮไลต์ของ Kemuri คือเทคนิคการย่าง เมนูข้าวหน้าเนื้อจะใช้ถ่านไม้ทุกเมนู (เป็นถ่านโกงกาง ถ่านไม้คุณภาพดี มอดชา ควันน้อย ให้ความร้อนสม่ำเสมอ) ทำจานต่อจาน ตั้งแต่การสไลด์เนื้อ ทาซอส และย่างทีละจาน เพื่อไม่ให้ซอสเข้าเนื้อมากเกินไปจนกลบรสชาติ และเสิร์ฟออกมาเป็นมีเดียมแรร์
เซตข้าวหน้าเนื้อจะเสิร์ฟมาพร้อมกับชุดผักดองรวม กะหล่ำซอย ไข่ออนเซน ซุปดาชิ และเครื่องเคียงต้นหอม สาหร่าย วาซาบิ ที่พิเศษขึ้นมาเป็น Signature ของ Kemuri คือวิธีการกินข้าวหน้าเนื้อ ปรับมาจากวิธีการกินปลาไหลของนาโกย่า ซึ่งกินได้ 3 แบบ ‘กินธรรมดา เนื้อ+ข้าว’ หรือ ‘เนื้อ+ข้าว+เครื่องเคียงเป็นคำ ๆ’ และ ‘กินแบบโอฉะสึเกะ เนื้อ+ข้าว+ราดซุปดาชิ’ เพิ่มความสนุกในการกิน และเพิ่มมิติรสใหม่ ๆ ด้วย
ส่วนสุกี้ยากี้ ก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะจะเสิร์ฟมาแบบหม้อร้อน เนื้อดิบ ไข่ดิบโมริ (กินดิบได้) ชุดผักดองรวม กะหล่ำซอย และข้าวญี่ปุ่น วิธีกินก็ให้เราคีบเนื้อไปลวกน้ำเอง เลือกระดับความสุกได้ตามชอบ จะกินแค่เนื้อเปล่า ๆ ก็อร่อย หรือจุ่มไข่ให้ฉาบเนื้อก็เพิ่มรสชาติหอวหวานได้อีก
เราได้ลอง ชุดข้าวหน้าเนื้อพิคานย่าย่าง (590 บาท) เป็นเนื้อที่หอมเวลาย่างไฟ เสิร์ฟมาพร้อมข้าวญี่ปุ่น ชุดผักดองรวม กะหล่ำซอย ไข่ออนเซน ซุปดาชิ มีเครื่องเคียงเป็นต้นหอมซอย สาหร่าย และวาซาบิ แอบตกใจที่ให้เนื้อมาเยอะมาก มาแบบล้น ๆ
ชอบที่พิคานย่าจะมีมันติดปลายทุกชิ้น เรียงออกมาสวยเลย ชิ้นหนากำลังเคี้ยวอร่อย ลองกินตามวิธีของ Kemuri แล้ว พบว่าเนื้อไปด้วยกันกับวาซาบิได้ดีมาก ๆ (ชอบวาซาบิแบบนี้มาก ๆ) เสริมรสเผ็ดที่ไม่ฉุนจนแสบจมูก ส่วนซุปดาชิกลิ่นปลาแห้งหอมชัดมาก กินรวมกับเนื้อก็อร่อย หรือจะซดเป็นซุปก็ยังได้
แน่นอนว่าเราจะไม่พลาด ชุดสุกี้ยากี้เนื้อวากิวเคะมุริ (590 บาท) เสิร์ฟมาพร้อมข้าวญี่ปุ่น ชุดผักดองรวม กะหล่ำซอย และไข่ดิบ เซตนี้ต้องบอกว่าใครเห็นก็ว้าว เพราะลายหินอ่อนของเนื้อสวยมาก ๆ มาแบบแผ่นใหญ่ ๆ จัดการคีบเนื้อไปจุ่มซุปแบบพอสุก จ้วงไข่ดิบให้ฉาบเนื้อ กินคู่กับข้าวญี่ปุ่นที่เรียงเม็ดสวย ฟินมากเวอร์ เนื้อมีความนุ่มและยังมีสัมผัสให้เคี้ยวไม่เลี่ยนเกินไป ส่วนตัวซุปก็ถูกปากคนไทยจริง ๆ เพราะเข้มข้นในระดับที่ยังซดได้
ล่าสุดที่ร้านร่วมกับ Kodo ครีเอตม็อกเทลพิเศษ เสิร์ฟเฉพาะที่ Kemuri ถึง 3 แก้ว คอนเซปต์คือ เปรี้ยว หวาน สดชื่น และต้องเข้ากับเนื้อได้ดี วันที่เราไปได้ลองแล้ว 2 แก้ว (ใหม่มาก ๆ แบบยังไม่ตั้งชื่อเลย) แก้วแรกเป็นอัญชัน เสาวรส และเม็ดป๊อบหวาน ๆ แก้วนี้จะมีความเปรี้ยวจี๊ด กระตุ้นต่อมรับรสได้ดี ช่วยทั้งตัดเลี่ยนและทำให้อยากอาหารมากขึ้น และอีกแก้ว มีแครนเบอร์รี่สดและมะขามที่เอาไปตีกับนมมีเทกเจอร์นิด ๆ ออกโทนหวานแต่ยังมีความเปรี้ยว เข้ากับเนื้อได้ดีเช่นกัน ทั้งสองแก้วราคาประมาณ 100 – 150 บาท ต้องลองเช็กกับทางร้านอีกทีนะ
Kemuri
เปิดทุกวัน (เว้นวันจันทร์) 17:00 – 00:00 น.
ถนนบรรทัดทอง
BTS สนามกีฬา / MRT สามย่านแล้วต่อพี่วิน | จอดรถได้ที่อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ
Google Maps