จะมีกี่ครั้งที่เราจะได้ลิ้มลองรสชาติจากเชฟฝีมือดี จากห้องอาหารที่ได้รับรางวัลการันตีมากมายอย่าง Jun’s ที่นครดูไบ แบบไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไป เพราะครั้งนี้เชฟ Kelvin Cheung จากห้องอาหาร Jun’s Dubai จะบินมาหาเราถึงประเทศไทย พร้อมเสิร์ฟเมนูสุดพิเศษเพียง 6 วันเท่านั้น กับ Jun’s Chef Kelvin Cheung In Bangkok ที่ Siam Kempinski Hotel Bangkok

งานนี้จัดขึ้นที่ห้องอาหาร Niche (เยื้องกับห้องอาหาร Sra Bua) กับประสบการณ์การชิมจานอาหารจากเชฟประจำห้องอาหาร Jun’s Dubai อีกหนึ่งร้านอาหารที่ได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย และยังเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 7 ของ 50 Best Restaurants – Middle East & North Africa อีกด้วย

ยังไม่หมด เพราะที่นี่ยังได้รางวัล Gault Millau (โกต์ มิลโล) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 จนถึงปัจจุบัน และยังได้รางวัล Michelin Guide ในปี พ.ศ. 2566 และ 2567 อีกด้วย ที่ Jun’s Dubai เป็นห้องอาหารที่นำเสนออาหารจีนกวางตุ้งสไตล์โมเดิร์น ที่ตั้งใจถ่ายทอดเรื่องราว และประสบการณ์การเดินทางของจานอาหารอย่างแปลกใหม่และไม่เหมือนใคร

เช่นเดียวกับครั้งนี้ ที่เชฟ Kelvin เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ที่ Siam Kempinski Hotel ทั้งที ก็ต้องพาเมนูที่น่าสนใจ ทั้งจากประสบการณ์ของเชฟเอง และเมนูที่ดัดแปลงมาจากโมเมนต์และความทรงจำต่าง ๆ ที่มีค่าของเชฟ มาให้ได้ลองชิมกัน ขอบอกว่าทั้ง 8 คอร์สดินเนอร์ (ราคา 4,300++ บาทต่อคน)

เชฟได้หยิบเอาวัตถุดิบที่คุ้นเคยจากถิ่นที่อยู่ของเชฟ และประเทศต่าง ๆ รวมถึงนำเอาวัตถุดิบของไทยมาใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว แอบบอกว่าคอร์สนี้เราสามารถสั่ง 5-Glass Wine Pairing มาเพิ่มเติมได้ด้วยเช่นกันนะ (ราคา 3,900++ บาทต่อคน)


เราแอบชอบบรรยากาศของห้องอาหาร Niche ที่จะเห็นเชฟปรุงอาหาร และจักดจานกันแบบชัด ๆ ที่เคาน์เตอร์ตรงหน้า ทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับเชฟเคลวิน และทีม Jun’s ได้ด้วยตา และประสามสัมผัสต่าง ๆ ระหว่างรอแต่ละจานด้วย

คอร์สนี้เริ่มกันที่ Oyster หอยนางรมจากประเทศฝรั่งเศส สายพันธุ์ La Friandise by Geay No. 4 ที่เนื้อแน่น และค่อนข้างครีมมี ราดด้วยซอสที่ทำมาจากต้นหอม ผักชี น้ำมันมะกอก ออนท็อปด้วยพริก Jalapeño ที่ไม่เผ็ดมากนัก แต่ช่วยเสริมรสได้ดี นอกจากนี้ที่ฐานของหอยนางรมยังมี Apple Dice รองเสริมรสหวานเพิ่มเติม เป็นคำแรกที่ช่วยเปิดต่อมรับรสได้ดี
“Jun’s Dubai อีกหนึ่งร้านอาหารที่ได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย และยังเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 7 ของ 50 Best Restaurants – Middle East & North Africa อีกด้วย”

ต่อกันที่ Dry-Aged Sea Bream ปลามาได (หรือปลาเจียโส่ยในบ้านเรา) เชฟจะนำไป Dry Aged กันถึง 7 วัน จัดวางคู่กับแตงโมสดที่ฝานเป็นเส้นบาง เวลาทานแนะนำให้ทานเนื้อปลาพร้อมกับแตงโมในคำเดียว ความหวานของแตงโม และความเฟิร์มของเนื้อปลา เข้ากันดีมาก ๆ เลยทีเดียว

ยังอยู่กันที่จานซีฟู้ดกับ Kinilaw Amaebi จานนี้ต้องบอกว่าเปรี้ยวตาตื่น และสดชื่นดีมาก ๆ จากความหวานของกุ้งหวาน และความเปรี้ยวจาก Calamansi (มะปี๊ด) นอกจากนี้เชฟยังนำเอาหัวกุ้งหวานไปชุบแป้งบาง ๆ แล้วทอดจนกรอบ ทำให้เราสามารถกินได้ทั้งหัว มีหนังปลาที่ทำเป็นคริสปี้โรยมาเพิ่ม สร้างมิติในปากของเราได้เป็นอย่างดี

ถัดมากับ Farmers Bread ที่เสิร์ฟมาสองจาน จานแป้งจะมาเป็นแป้งโรตี ที่เชฟใส่ผักท้องถิ่นในบ้านเราอย่างผักคะแยงลงไปด้วย ส่วนจานเครื่องจิ้มจะเป็นถั่วบดที่ปกติแล้วทางตะวันออกกลางจะใช้เป็นถั่วปากอ้า หรือถั่วเลนทิล แต่เชฟเลือกใช้เป็นถั่วแดงแทน ใส่เครื่องสไปซ์ต่าง ๆ เข้าไป โปะด้วยผักบดสีเขียว ราดด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว เวลากินให้ฉีกแป้ง แล้วปาดเครื่องจิ้มได้เลย

ขอบอกว่าจานนี้ค่อนข้างซับซ้อนด้วยรสชาติ มีความเอเชียแบบญี่ปุ่นด้วยวัตถุดิบอย่างถั่วแดง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยเครื่องเทศแบบตะวันออกกลางอยู่ เป็นรสชาติที่น่าสนใจไม่น้อย และหากใครสั่ง Wine Pairing มาด้วย จานนี้จะมาพร้อมไวน์แก้วแรกกับ Schubert ‘Selection’ ปี พ.ศ. 2565 จากนิวซีแลนด์ ไวน์ขาวที่ให้ Medium Body และค่อนข้าง Dry เลย

Singapore Chilli King Crab เมนูของประเทศสิงคโปร์อย่างปูผัดซอสพริกที่เรารู้จักกันดี แต่จานนี้เชฟเคลวินได้สูตรมาจากคุณแม่ (โดยเฉพาะสูตรซอสพริก) ที่อยู่ที่สิงคโปร์ เชฟเลือกใช้ Alaska King Crab ราดด้วยซอสพริกสูตรคุณแม่ รองด้านล่างด้วยถั่วเฮเซลนัท ก่อนกินให้คนทุกอย่างให้เข้ากัน จะกินเปล่า ๆ ก็ได้ หรือจะเอาหมั่นโถวที่เสิร์ฟชิ้นเล็กพอดีคำมาจิ้มด้วยก็ดีไปอีกแบบ

ส่วนจานนี้จะ Pairing กับ Peter Lauer Felis Biebelhausen Riesling Fass 13GG จากเยอรมนี เลเบลปี พ.ศ. 2565 ยังคงมาใน Medium Body และมีความ Dry อยู่ แต่อาจน้อยกว่าแก้วแรกเล็กน้อย

ยังคงสนุกกับเมนูซีฟู้ด เพราะจานต่อมาอย่าง XO Scallops นั้น วัตถุดิบหลักยังเป็นหอยเชลล์ หากจานก่อนหน้านี้จะเป็น Secret Recipe ของคุณแม่ สูตรซอส XO จานนี้ก็เป็นซอสลับของคุณพ่อ ที่เชฟเคลวินแอบขโมยมา (เพราะคุณพ่อไม่ยอมให้สูตรสักที) และหยิบเอาแรงบันดาลใจจากทุ่งข้าวโพดที่มีมากในประเทศแคนาดา (ประเทศที่เชฟเคลวินเติบโตมา) มาอยู่ในจานนี้ด้วย

นอกจากนี้ ชีสโฟมที่ท็อปมานั้น เชฟเลือกใช้ขอบของพาร์เมซานชีสที่มีอายุ 1 ปีโดยเฉพาะ (แอบได้ยินมาว่า เชฟกว้านซื้อขอบชีสจากดูไบมาจนเกลี้ยงประเทศเลย ฮา) เป็นอีกจานที่รสชาติกลมกล่อม ลงตัว และวัตถุดิบที่สดก็ทำให้รสชาติโดยรวมดียิ่งขึ้น จานนี้ถูก Pairing กับ Domaine Christian Moreau Pere & Fils Vaillons พรีเมียร์ครูเลเบลปี พ.ศ. 2565 จากประเทศฝรั่งเศส ที่จะมีความบาลานซ์มากกว่าแก้วก่อน ๆ อยู่สักหน่อย


ปิดท้าย Main Course ด้วย Wagyu Beef Cheeks แก้มวัววากิวตุ๋นชิ้นใหญ่ เสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิที่หุงในหม้อดิน มาพร้อมเครื่องเคียงอีก 4 แบบ ทั้งกิมจิ ผักดองต่าง ๆ หั่นเส้น มะเขือม่วงลูกเล็กที่นำไปกงฟีกับน้ำมัน และหมูกรอบพริกเกลือ (ที่เรารู้สึกว่าเป็นกากหมูพริกเกลือมากกว่า)

ซึ่งเครื่องเคียงเหล่านี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสมัยก่อนที่คุณแม่ทำให้ เนื่องด้วยอดีตบ้านของเชฟเคลวินก็ไม่ค่อยมีฐานะมากนัก แน่นอนว่าจานเนื้อแบบนี้ก็ต้อง Pairing มากับไวน์แดงอย่าง Travaglini Gattinara DOCG จากประเทศอิตาลี

ล้างปากด้วยของหวานกับ Kaya Toast ขนมปังปิ้งสังขยาของสิงคโปร์ แต่เชฟเลือกนำเสนอแบบ Deconstruct เสิร์ฟมาเป็น Pandan Sponge, Pandan Cream และ Coconut Cream และยังมีครัมเบิลงาด้วย จานของหวานนี้ Pairing กับไวน์หวานของ G.D. Vajra Moscato d’Asti DOCG จากประเทศอิตาลี

ปิดท้ายกับ Petit Fours (ที่มีมาแค่สามอย่าง) กับ Gummy Bear เยลลี่รูปหมีโฮมเมดสามรสชาติ รสมะม่วงชิลลี่ ราสบ์เบอร์รี และส้มกับมะพร้าว กับ Fortune Cookie ที่มาพร้อมคำทำนายด้านใน (เราได้คำทำนายว่า “เราเห็นเงินก้อนใหญ่ตรงหน้า แต่ว่ามันไม่ใช่ของคุณอะสิ!”) และ Dubai Chocolate ขนมสุดฮิตที่มาในรูปแบบของคุกกี้
นี่คืออีกหนึ่งประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ และครั้งนี้ก็มีจำนวนจำกัดเพียง 6 วันเท่านั้น ใครที่อยากลิ้มลองรสชาติจากเชฟเคลวิน กับโมเมนต์สุดพิเศษ ก็สามารถดูรายละเอียดและสำรองที่นั่งที่ Siam Kempinski Hotel กันได้เลย
Jun’s Chef Kelvin Cheung In Bangkok
14-19 พฤษภาคม 2568
โรงแรมสยามเคมปินสกี้ พระราม 1 ปทุมวัน
BTS สยาม | มีที่จอดรถ