คงพูดได้ว่ากระแสปลาไทย และเมนู Fish’n Chips ที่ฮอตฮิตในบ้านเราขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งคงมาจากการเกิดขึ้นของร้าน Fishmonger ที่ต่อยอดธุรกิจ “ลันตาปลาไทย” ออกมาเป็นหน้าร้านที่จำหน่าย Fish’n Chips เกิดเป็นกระแสฟีเวอร์ที่ทำให้คนไทยรู้จักปลาไทยมากขึ้น มีร้านอาหารที่จำหน่าย Fish’n Chips เกิดใหม่เรื่อย ๆ ส่วน Fishmonger ก็ขยับขยายสู่สาขาที่สองในย่านอารีย์ ล่าสุดกับการย้ายร้านจากสาขาบรรทัดทอง สู่ Asia Hotel ราชเทวี

นี่ไม่ใช่สาขาที่สาม แต่เป็นการแก้ Pain Point ของ Fishmonger สาขาแรก
การเกิดขึ้นของ Fishmonger Asia Hotel นี้ไม่ใช่เป็นสาขาที่สามของแบรนด์แต่อย่างใด แต่ถือเป็นการขยับขยายจากร้านสาขาแรกในย่านบรรทัดทอง ที่เดิมตั้งอยู่ในโครงการ GalileOasis บริเวณซอยโรงเรียนกิ่งเพชร มาอยู่ตรงนี้แทน นั่นเพราะสาขาเดิมนั้นการเดินทางอาจจะเข้าถึงยากไปสักนิด ยิ่งกับผู้สูงวัย หรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินเท้าอาจเดินทางเข้าถึงร้านลำบาก เพราะจริง ๆ แล้วกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ และผู้สูงวัย ก็เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของทางร้านเช่นกัน


นอกจากนี้ยังรวมถึงจำนวนที่จอดรถที่ไม่เพียงพอ ไปจนถึงขนาดของร้านที่มีจำกัด ทำให้ไม่สามารถรองรับความต้องการทั้งหมดได้ เมื่อทางร้านหมดสัญญาเช่ากับสถานที่เดิม จึงเริ่มมองหาโลเคชันใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ว่ามาได้

ประจวบเหมาะกับทางโรงแรมเอเชีย ได้ทำการบูรณะปรับปรุงพื้นที่ของโรงแรมใหม่ทั้งหมด โดยเปลี่ยนพื้นที่ชั้นล่างของโรงแรมในซอยพญานาค (ตรงข้ามอาเขต) ให้กลายเป็นศูนย์รวมร้านต่าง ๆ ที่นอกจากมี Fishmonger แล้ว ในอนาคตอันใกล้ยังมีร้านอาหาร เบเกอรี ไปจนถึงไนต์คลับอีกด้วย
“อีกหนึ่งจุดนำสายตาที่เดินผ่านหน้าร้านแล้วยังไงก็ต้องเห็น กับจุดเด่นอย่างตู้กระจกที่แขวนปลาตัวใหญ่เอาไว้หน้าร้าน ซึ่งจริง ๆ แล้วนี่คือตู้ Dry Aged ที่เป็นเมนูใหม่เฉพาะสาขา Fishmonger Asia Hotel นั่นเอง”

เมื่อย้ายมาที่ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น รองรับความต้องการได้มากขึ้น และเดินทางสะดวกขึ้น Fishmonger Asia Hotel จึงตั้งใจให้ร้านใหม่นี้มีความ Proper มากขึ้น โดยหยิบเอากลิ่นอายของร้านอาหารใน Capri ประเทศอิตาลี กับเมืองติดทะเลที่มีสีสันสดใส และร้านอาหารใน Sevilla ประเทศสเปน ที่มีความเคร่งขรึมขึ้นมาอีกหน่อย มาเป็นคอนเซปต์โดยรวมของการตกแต่งร้าน ผสานกับเอกลักษณ์ในเรื่องของงานออกแบบฟอนต์และ Typographic ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในร้านอาหารตามชายฝั่งต่างประเทศด้วย

บริเวณกำแพงโล่งที่เชื่อมกับส่วนครัว ทางร้านเลือกที่จะเพนต์ภาพขนาดใหญ่ให้เห็นชัดเจน เพื่อดึงดูดสายตา และดึงความสนใจจากชาวต่างชาติ ที่อยู่ในละแวกนี้ค่อนข้างเยอะ จึงหยิบคำว่า “Bangkok’s Finest Fish’n Chips” มาโปรย เพื่อเน้นย้ำว่า ที่นี่จะเป็นจุดหมายแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ สำหรับคนรัก Fish’n Chips และเมนูปลา

เราจะเห็นงานดีไซน์ที่มีความคล้ายคลึงกับสาขาอารีย์อย่างการใช้ประตู เฟอร์นิเจอร์ไม้ กับการเลือกใช้โทนสีน้ำเงินที่มีความเข้มขึ้นจากสาขาอารีย์ ให้ดูขรึมขึ้น แต่ยังดุดันจนเกินไป ยังมีการหยอดสีสันเข้ามาเพิ่มเติมอยู่ นอกจากนี้ยังแก้ Pain Point ด้วยการแบ่งพื้นที่ของร้านออกเป็นสัดส่วนมากขึ้น มีโซนที่สามารถกั้นเป็นห้องส่วนตัวได้ เนื่องจากที่สาขาอารีย์เป็นพื้นที่เปิดโล่งทั้งชั้น ทำให้เวลามาเป็นกรุ๊ปจะไม่สามารถสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้ได้ โดยโซนไพรเวทนี้รอบรับได้ที่ 12-16 ที่นั่ง โดยจะมี Minimum Spend ที่ 8,000 บาทนะ
เมนูเพิ่มขึ้น มาพร้อมไฮไลต์อย่างเมนูปลา Dry Aged



ได้ยินแบบนี้เราจึงไม่อยากพลาดที่จะลองเมนูปลาดรายเอจสักหน่อย ทางร้านเลือกสื่อสารจานดรายเอจออกมาเป็น 3 แบบ 3 สไตล์ เริ่มที่ Italian Carpaccio (270 บาท) จานนี้จะมาในสไตล์ยุโรปอิตาเลียน ใช้ปลาเนื้อขาวดรายเอจแล่บาง กับเดรสซิงรสเปรี้ยวหวาน มีความซิตรัสเล็กน้อย เพิ่มด้วยโอลีฟออยล์ จานนี้เหมาะกับคนที่ชอบรสไลต์ ไม่จัดจ้านจนเกินไป

ต่อกันที่ Japanese Yuzu Ponzu (270 บาท) ที่มาในสไตล์เอเชียในสไตล์ญี่ปุ่น กับปลาแล่หนาขึ้นจากคาปัชโชอีกนิด ราดด้วยซอสพอนซึ แต้มด้วยยุสุเจล ได้รสชาติดาชิชัด และกลิ่นยุสุหอมชัดเจนดีทีเดียว

และ Peruvian Ceviche (270 บาท) กระโดดมาในสไตล์อเมริกาใต้ที่เปรู หยิบเอาเมนูเซวิเช่ที่มีความคล้ายพล่าหรือยำไทยของบ้านเรา แต่ทาง Fishmonger จะบิดเล็กน้อยด้วยการรองฐานด้านล่างด้วยกัวคาโมเล่โฮมเมด เพื่อเติมความมันเข้าไปมากขึ้น เพราะปลาไทยของเราจะมีไขมันค่อนข้างน้อยนั่นเอง
หากถามว่าที่สาขานี้ กับสาขาอารีย์ มีเมนูไหนที่แตกต่างกันบ้าง ก็ต้องบอกว่าเมนูหลักแทบทั้งหมดจะมีเหมือนกันทั้งสองสาขา ต่างกันแค่ที่สาขา Asia Hotel นี้จะไม่มีเมนู Tapas เหมือนที่อารีย์ แต่จะมีเมนูดรายเอจขึ้นมา เมนูฝั่งพาสตาจะมีประเภทซอสให้เลือกมากขึ้น หรือสลัด ซุป และจานทานเล่นที่แตกต่างกับสาขาอารีย์ในบางตัว

อีกหนึ่งเมนูที่มีเฉพาะสาขานี้นั่นคือจานหลักที่มีสเต็กปลาเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากฟีดแบ็กของลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่ว่าชอบกินปลา แต่ไม่อยากกินปลาทอด จึงมีเมนูนี้ขึ้นมา เราลองสั่ง Fish Steak (Standard 260 บาท และ Premium 330 บาท) เลือกเป็นปลาเก๋าดอกดำที่ย่างมาแบบกำลังดี หนังกรอบ เนื้อยัง Juicy และแน่น ๆ

พิเศษตรงที่รองมาด้วย Mashed Califlower หรือดอกกะหล่ำบดโฮมเมด แทนการเสิร์ฟมันบด ที่แคลอรีต่ำ และรสชาติก็หอมมัน อร่อยไม่แพ้มันบดเลย แน่นอนว่าพอเป็น Main Dish ก็สามารถเลือกชนิดของปลาได้เช่นเดียวกันนะ

เติมความสดชื่นด้วย Cherry Tomato Burrata Salad (320 บาท) บูรัตตาชีสเนื้อเด้ง ๆ กับมะเขือเทศสดรสหวาน แกล้มจานหลักได้ดี แน่นอนว่า Fish’n Chips จานยอดนิยมก็ไม่พลาดที่จะสั่ง (Standard 210 บาท และ Premium 280 บาท) รอบนี้เลือกเป็นปลาน้ำดอกไม้ ที่ตัวแป้งยังคงความนุ่มฟู กรอบถึงใจ ไม่ด้าน และเนื้อปลาด้านในยังคงฉ่ำ ไม่แห้ง เนื้อแน่นอยู่เช่นเดิม

ส่วนสายดื่มก็ต้องบอกว่า แม้เคาน์เตอร์บาร์จะมีขนาดเล็กกว่าที่สาขาอารีย์ แต่มีเมนูเครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟเยอะกว่าเดิมอีกนะ มาพร้อมคลาสสิกค็อกเทลที่มีมากขึ้น ให้เราได้แพริงกับอาหารต่าง ๆ ในร้าน นอกจากนั้นยังมีไวน์ ทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง และโรเซ่ ให้เลือก รวมถึงเครื่องดื่มแก้วอื่น ๆ และแบบ Non-Alcohol ด้วย เราสั่งมาลองทั้งค็อกเทลอย่าง Aperol Spritz (290 บาท) และ Lemon Soda (85 บาท) มาดื่มแกล้มอาหารแต่ละจานด้วย


ถือว่าการขยับขยายมายังสถานที่ใหม่ในครั้งนี้ของ Fishmonger Asia Hotel เป็นการเติบโตที่ครบเครื่องขึ้น และหยิบเอาเสียงตอบรับหลาย ๆ อย่างของลูกค้ามาแก้ไขได้อย่างหมดจด และเชื่อว่าที่นี่จะเป็นจุดหมายของมื้ออาหารของหลาย ๆ ครอบครัวได้ไม่ยาก ส่วนใครที่อยากรู้จักสาขาที่สองในบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าสมัยรัชกาลที่ 3 ในย่านอารีย์ ก็ จิ้มอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ได้เลย
Fishmonger Asia Hotel
เปิดทุกวัน 12:00 – 22:00 น. (ศุกร์ – เสาร์ ปิด 23:00 น.)
ซอยพญานาค (ใต้โรงแรมเอเชีย) ราชเทวี
BTS ราชเทวี | มีที่จอดรถ