หากพูดถึง ‘เกียวโต’ หลายคนคงจะนึกถึงเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น ที่ยังคงอนุรักษ์บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในอดีตเอาไว้ คงเสน่ห์ข้ามกาลเวลาที่ดึงดูดที่คนให้มาเยี่ยมเยือนเสมอ ไปจนถึงเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีวัดเยอะมาก ๆ แต่ไฮไลต์ที่ Routeen. จะพาแวะครั้งไม่ใช่วัด หรือสปอตเก่าที่ไหน แต่เป็น Dusit Thani Kyoto แบรนด์โรงแรมแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นของเครือดุสิตธานี ที่เพิ่งได้รับ Michelin Key จาก MICHELIN Guide มาหมาด ๆ จนเราต้องแวะมาสัมผัสด้วยตัวเอง
สำหรับ Michelin Key หรือ “กุญแจมิชลิน” นั้น ถือเป็นรางวัลที่ทางมิชลินไกด์มอบให้กับโรงแรมที่มีความโดดเด่นทั้ง 5 มิติ ได้แก่ ด้านงานออกแบบภายในและสถาปัตยกรรมตกแต่ง ด้านคุณภาพของการบริการ ด้านเอกลักษณ์ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ด้านราคา และด้านที่สำคัญอย่างการมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เข้าพัก และยังสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่ท้องถิ่นที่ทางโรงแรมตั้งอยู่ได้อย่างกลมกลืน
ตัวโรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Gojo หรือเพียง 1 สถานีจากสถานีเกียวโตเท่านั้น แต่ซ่อนตัวอยู่ในย่านที่พักอาศัยที่เงียบสงบ ทำให้การเข้าพักเป็นไปอย่างส่วนตัวมาก ๆ แต่ยังคงเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวได้แบบสะดวกสุด ๆ เช่นกัน
ตัวอาคารเตะตาเราตั้งแต่เดินมาเห็นจากภายนอกแล้ว ตัวอาคารแบบ Low-Rise ที่ใช้ระแนงไม้สีสบายตา ที่ถือเป็นองค์ประกอบหลักของสถานปัตยกรรมญี่ปุ่น มาเป็นโครงของอาคารภายนอก ที่จะมองว่าโมเดิร์นก็ยังได้ หรือจะมองให้กลมกลืนไปกับสิ่งปลูกสร้างโดยรอบก็ยังลงตัวเช่นกัน
พอเดินเข้ามาในล็อบบี้ เราจะเจอความรู้สึกที่ทั้งแปลกใหม่และคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน นั่นเพราะเขายึดคอนเซปต์การผสมผสานงานศิลปะ และงานฝีมือของไทยและญี่ปุ่นแบบ Cultural Parallelism เอาไว้อย่างกลมกลืน ทั้งการใช้วัสดุ การหยิบเอาองค์ประกอบของลายไทยและความเป็นญี่ปุ่นมาผสมกัน หรือภาพแทนที่ดีที่สุดคือ ชุดกิโมโนผ้าไหมไทย (และลายไทยร่วมสมัย) ที่โชว์อยู่ตรง Tea Salon นั่นเอง
อย่างที่บริเวณล็อบบี้ พอเดินเข้ามาเราจะเจองานตกแต่งห้อยระย้าเตะตาอยู่บนเพดาน ส่วนนี้เป็นการผสมผสานกันระหว่างสีน้ำเงิน ที่ถือเป็น CI ของแบรนด์ Dusit Thani ถอดรูปร่างมาจากพวงมาลัยคล้องคอของไทย เวลาที่เราเดินทางไปที่ไหนแล้วจะมีพวงมาลัยนี้มาต้อนรับแขก ให้เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของการต้อนรับแขกผู้เข้าพักของโรงแรมนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่ถอดมาจากคว่ามเป็นไทยและญี่ปุ่นซ่อนอยู่มากมาย อาทิ งานตกแต่งภายในล็อบบี้ที่ถอดรูปมาจาก Ikebana (อิเคะบะนะ) หรือศิลปะการจัดดอกไม้สไตล์ญี่ปุ่น หรือบริเวณเสาของอาคารในล็อบบี้ที่ทำออกมาจากรูปทรงของเจดีย์ไทย แต่เลือกใช้ไม้ซีดาร์ของญี่ปุ่นมาเป็นสัจจะวัสดุ และความเป็นไทยที่แขกได้รับตั้งแต่เดินเข้ามายังเคาน์เตอร์เช็กอิน คือเจ้าหน้าที่จะทักทายว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” ด้วย
นอกจากนี้ เราจะเห็นว่างานตกแต่งส่วนใหญ่ภายในโรงแรมจะเน้นเส้นโค้ง เพราะเขาอยากให้แขกผู้เข้าพักรู้สึกถึงความอบอุ่น ความ Warm Welcome และอ่อนน้อม ที่ไม่ได้แข็งทื่อจนเกินไป
เขยิบจากล็อบบี้มาจะเป็นที่ตั้งของ Lounge และ Tea Salon ที่ตั้งอยู่คนละฝั่งหันหน้าเข้าหากัน โดยใช้คอนเซปต์เป็น Thai Meets Japan ถ้าสังเกตที่งานตกแต่งหลังเคาน์เตอร์บาร์ในเลาจน์ ที่หยิบเอาสิ่งสำคัญของทั้งสองประเทศมารวมไว้ด้วยกัน ทั้งเจดีย์ 5 ชั้นของเกียวโต และวัดพระศรีสรรเพชญ์ ในจังหวัดอยุธยา ที่ทั้งสองเมืองนี้ล้วนเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศเช่นกัน และช่วงที่เกียวโตเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นนั้นจะอยู่ในยุคเฮอัน ซึ่งตรงกับช่วงกรุงศรีอยุธยาของบ้านเราพอดี
แต่พอหันไปที่ Tea Salon ก็จะมีความญี่ปุ่นขึ้นมาทันที บริเวณนี้นอกจากจะเป็นพื้นที่ดื่มชาแล้ว ในทุก ๆ วันเสาร์ยังมีการแสดงไมโกะ และซามิเซงให้ชมฟรีอีกด้วย (โดยมีเจ้ากิโมโนลวดลายไทยมาตั้งระหว่างทั้งสองที่นี้ เพื่อเป็นตัวเชื่อมความไทยและญี่ปุ่นทั้งสองฝั่งด้วย) เรียกว่าแทบทุกตารางนิ้วของที่ Dusit Thani Kyoto ถูกคิดมาอย่างลึกซึ้งแล้วจริง ๆ
แน่นอนว่างานออกแบบนี้ก็ซ่อนอยู่ในห้องพักทุกไทป์ของที่นี่ด้วย ตัวห้องพักทั้ง 147 ห้อง รวมทั้ง 7 ไทป์ ยังคงเน้นงานตกแต่งที่ดูหรูหรา หยิบจับเอารายละเอียดของไทยจากการจับจีบสไบ กับของญี่ปุ่นอย่างงานกิโมโน มาคลี่คลายออกเป็นงานดีไซน์ตกแต่งภายในห้องพัก ทำให้ที่นี่ไม่ใช่ออกมาแบบญี่ปุ่นคลาสสิกจ๋า แม้จะอยู่ในอดีตเมืองหลวงสุดขลังอย่างเกียวโตก็ตาม
ถึงอย่างนั้น ไหน ๆ ก็ตั้งอยู่ในเกียวโตทั้งที ยังไงก็ยังแอบมีองค์ประกอบแบบญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมอยู่บ้าง เช่น บานเลื่อนโชจิ หรืองานอาร์ตเวิร์กจากพักเกียวเซนซุ ก็จะเห็นได้ในห้องพักเช่นกัน
เราแอบชอบห้อง Premier Suite Garden View มาก เพราะนอกจากจะได้ห้องวิวสวนญี่ปุ่นที่ดูสบายตาแล้ว เฉพาะห้องไทป์นี้จะมีพื้นที่ยกระดับ ที่ทำเป็นเสื่อตาตามิพร้อมโต๊ะนั่งดื่มชาแบบญี่ปุ่น ให้เราจิบชาไป ดูวิวสวนสวยข้างนอกไปเพลิน ๆ ด้วย เรียกว่าฮีลใจแบบญี่ปุ่นได้จริง ๆ
หรือแม้กระทั่งห้อง Imperial Suite King ที่ชั้น 4 มีขนาดใหญ่ถึง 173 ตารางเมตร และมีเพียงห้องเดียว เพนต์เฮาส์สุดหรูที่ให้เราพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ แถมยังมาพร้อมกับอ่างอาบน้ำไม้ฮิโนกิ ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และเก็บความชื้นได้ดี ไม่ค่อยเกิดเชื้อรา และมีเพียงห้องไทป์นี้เท่านั้นที่มีอ่างแบบนี้ (แต่ก็แลกมากับราคาเข้าพักที่เกือบแปดแสนเยนต่อคืนเช่นกันนะ)
อีกหนึ่งสปอตที่ทำให้ที่นี่ดูพิเศษยิ่งกว่า นั่นคือสวนเซนที่ตั้งอยู่กลางโรงแรม ทำให้ห้องพักของที่นี่ ได้ทั้งวิวเมือง และวิวสวนแบบไม่อึดอัด (แอบบอกว่ามุมสวนนี้ถ่ายรูปสวยปังมาก)
เรื่อง Facilities ที่นี่ก็มีพร้อม ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส รวมถึง Devarana Wellness สปาที่มี 4 ห้องออยล์ทรีตเมนต์ และ 1 ห้องนวดไทย (Amenities ในห้องพักก็ใช้ของ Devarana ด้วยนะ) ฝั่งห้องอาหารกับ Ayatana ร้านอาหารไทย Fine Dining โดย เชฟโบ – ดวงพร ทรงวิศวะ ที่เลือกนำเสนออาหารไทยผ่านวัตถุดิบในเกียวโต ใกล้ ๆ กันเป็นร้าน Koyo ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ Chef Table Grill และ Den Kyoto ค็อกเทลบาร์ที่โดดเด่นด้วยเพดานทรงโค้ง เหมือนเราเข้ามาอยู่ในถ้ำไวป์เท่ตามชื่อ Den ของบาร์
นอกจากนี้ยังมี Dusit Shop ตั้งอยู่บริเวณล็อบบี้ โดยคัดเลือกสินค้าในเกียวโตมาจำหน่าย เช่น ที่รองแก้ว และผลิตภัณฑ์จากไม้อื่น ๆ ที่ทำมาจากไม้ของโรงไม้มุรายามะที่เก่าแก่ในเกียวโต (หากใครติดใจ Welcome Snack ที่มีให้ในห้องพัก ก็สามารถแวะมาซื้อกลับไปได้ที่นี่ด้วย ขอบอกว่าแพ็กเกจคือสวยงามมาก ๆ แถมลวดลายของบรรจุภัณฑ์จะเปลี่ยนไปตามเทศกาลสำคัญ ๆ ทั้งของไทยและญี่ปุ่นด้วย)
Dusit Thani Kyoto เพิ่งเปิดให้บริการในเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา (เดือนหน้าก็จะครบ 1 ปีแล้ว) เรียกว่าการได้ 1 กุญแจมิชลิน เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า โรงแรมที่มีเอกลักษณ์และมอบประสบการณ์เหนือมมาตรฐานให้ได้ แม้จะเพิ่งมีโอกาสนำเสนอตัวตนได้ไม่นาน แต่ถ้าโดดเด่นและพิเศษพอ ก็พร้อมได้รับกุญแจมิชลินเช่นกัน