สำหรับชาวรังสิต และชาวลาดพร้าว คงคุ้นเคยกับร้านกาแฟที่ชื่อ Cof And Cow คาเฟ่ ไวป์ดี ที่หลายคนติดใจรสชาติกาแฟของเขา ก่อนที่สาขาในย่านลาดพร้าวจะปิดตัวลงเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในที่สุด พวกเขาก็ปรากฎตัวอีกครั้งในย่านเสนานิคม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแหล่งเดิม เพิ่มเติมคือเครื่องดื่มที่แน่นขึ้น และบรรยากาศร้านที่ต่างออกไป กับ Cof And Cow At Sena Nikhom ที่เปิดเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

เราเชื่อว่านี่น่าจะเป็น คาเฟ่ ที่ชาวรังสิต (รวมถึงเด็ก ๆ ธรรมศาสตร์) จะต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะนี่คือร้านกาแฟที่อยู่คู่กับย่านรังสิตมากว่าทศวรรรษแล้ว คุณเพลง – กชกร วัฒนศิริ ผู้จัดการสาขา Cof And Cow At Sena Nikhom พาเราย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของร้านว่าแบรนด์นี้เริ่มจากกลุ่มเพื่อนที่เรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รวมตัวกันเปิดร้านขึ้นมา

โดยจริง ๆ แล้วร้านแรกเปิดขึ้นมาให้เป็น Co-Working Space ในหมู่บ้าน U Village ข้างมหาวิทยาลัยก่อน ก่อนที่จะปิดตัวลงทั้ง 2 สาขาในย่านหมู่บ้านนั้นในยุคโควิด-19 ถึงอย่างนั้นก็ยังมีร้าน CO-F Escape ที่ขยับมาตั้งอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ตรงข้ามกับตึกสถาปัตยกรรมศาสตร์เลย (แถวท่ารถตู้) ที่เชื้อเชิญให้หลาย ๆ คนมาหลบหลีกความวุ่นวาย และพักใจในพื้นที่ของเขา โดยเป็นร้าน Coffee & Brunch เต็มตัว
“ทางร้านออกแบบผนังแบบปูนสลัดดอก แบบที่บ้านหลาย ๆ หลังในย่านนี้ยังคงใช้เทคนิคนี้แต่งผนังกัน เพื่อให้กลมกลืนและเป็นส่วนหนึ่งของ Neighbourhood นี้ แต่ก็ยังแอบแทรกความเป็น Coffee Centric ด้วยการสลัดดอกปูนที่ไล่จากหยาบขึ้นไปละเอียดขึ้นที่ด้านบน ล้อไปกับความละเอียดของการบดกาแฟด้วย ”

หลังจากที่อยู่ในย่านรังสิตมาเป็นเวลานาน ในที่สุดแบรนด์ก็ขยับมาเปิดสาขาเฉพาะกิจในย่านลาดพร้าว กับ Properspace.Coffee By COF AND COW ที่ตั้งอยู่ในโครงการเมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว และปิดตัวลงเมื่อหมดสัญญากับโครงการไป ทาง คุณมด – ธาดา ชัยฤกษ์ และทีม COF AND COW จึงเริ่มมองหาพื้นที่ใหม่ ๆ ในละแวกนี้อีกครั้ง และอยากอยู่ในย่าน Residential เป็นหลัก

จนมาได้ตึกแถวขนาด 1 คูหา ที่เดิมเคยเป็นออฟฟิศของอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาก่อน ด้วยความที่ทีมเจ้าของร้านเองก็เป็นสถาปนิกด้วย ตัวร้านจึงถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยตัวเอง โดยนำเสนอความ Expertise ด้านกาแฟผ่านดีไซน์ของตัวร้านในคอนเซปต์ “Coffee Centric” ที่ให้กาแฟเป็นแกนของแนวคิดในทุกอย่าง
ทางร้านออกแบบผนังแบบปูนสลัดดอก แบบที่บ้านหลาย ๆ หลังในย่านนี้ยังคงใช้เทคนิคนี้แต่งผนังกัน เพื่อให้กลมกลืนและเป็นส่วนหนึ่งของ Neighbourhood นี้ แต่ก็ยังแอบแทรกความเป็น Coffee Centric ด้วยการสลัดดอกปูนที่ไล่จากหยาบขึ้นไปละเอียดขึ้นที่ด้านบน ล้อไปกับความละเอียดของการบดกาแฟด้วย

หรือการเลือกใช้วัสดุไม้เพื่อให้ลิงก์ไปกับพื้นไม้เดิมของบ้าน แต่ยังแอบสอดแทรกเรื่องราวของกาแฟเอาไว้ไม่ต่าง ทั้งแผ่นไม้กรุกำแพงและเคาน์เตอร์ขนาด 10×10 ที่โชว์วงปีของไม้ ให้เหมือนกับหน้าครีมาของกาแฟ หรือเก้าอี้ไม้ที่สั่งทำพิเศษ ให้โชว์ลายไม้ที่คล้ายกับการไหลของชั้นกาแฟในแก้ว ก็เป็นดีเทลสุดลึกซึ้งที่แอบซ่อนไว้ในร้านนี้ด้วย
ที่ชั้นสองยังเก็บ “ห้องเก็บพิมพ์เขียว” เดิมเอาไว้ เป็นส่วนประกอบที่น่ารัก ๆ บริเวณพื้นที่นั่ง (แต่ไม่ได้เปิดให้ใช้งานนะ เพราะเพดานต่ำมาก ๆ)

ตัวเครื่องดื่มเองก็ยังมีบางเมนูที่ยกมาจาก Properspace.Coffee By COF AND COW เช่นกัน อย่าง Ladprao Iconic และที่นี่ยังเป็นจุดหมายปลายทางของคนรักคราฟต์ช็อกโกแลตได้อีกด้วย เพราะทางร้านเขาจริงจังเครื่องคราฟต์ช็อกโกแลต โดยใช้ช็อกโกแลตจากฟาร์มต่าง ๆ ทั้งภาคอีสาน และภาคใต้ มาพร้อม House Blend 1 ตัว ที่ให้ Taste Note อย่างโกโก้ มะพร้าว และได้อารมณ์มอลต์อยู่หน่อย ๆ ที่ดื่มไม่ยากอย่างที่คิด

รวมถึงยังมี Single Origin จากพื้นที่ต่าง ๆ หมุนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อีก 5-6 ตัวเลยทีเดียว อย่างในวันที่ Routeen. ไปนั้น ทางร้านมีโกโก้จากวังน้ำเย็น (สระแก้ว) ดินอุดม (กระบี่) ป่าบอน (พัทลุง) คอลอตันหยง (ปัตตานี) และแม่ปะ (ตาก) ที่มี Taste Note ต่างกัน ทั้งฟีลคลาสสิกและฟรุตตี รวมถึงความดาร์กก็ต่างกันด้วย

ส่วนฝั่งกาแฟเองจะเน้น Natural Process เป็นหลัก ทางร้านก็มี House Blend ให้เลือกอยู่ด้วยกัน 2 ตัว แบ่งออกเป็น Blue Blend เมล็ดจากดอยสะเก็ด คั่วกลางค่อนเข้ม ที่ออกทางนัตตี้และคาราเมลหน่อย ๆ ส่วนอีกตัวจะเป็น Liberty Blend ใช้เมล็ดคั่วกลางค่อนอ่อนจากเอธิโอเปีย บราซิล และไทย ที่ออกฟรุตตีและฟลอรัล

รวมถึงยังมีเมล็ดกาแฟทั้ง Single Origin และ Blend อื่น ๆ ให้ได้ลองอีกมากมาย ทางร้านจะเป็นคนเลือกสารกาแฟมาเอง และได้ คุณเบรคเอี้ยด – วรท รัตนพันธุ์ ที่มีดีกรีแชมป์คั่วอย่าง Thailand National Coffee Roasting Championship 2024 มาคั่วให้ด้วย โดยที่เคาน์เตอร์จะมีกระเปาะกาแฟให้เราได้ลองดมกลิ่นที่ชอบก่อนสั่งได้เลย

เราลองเป็น Ladprao Iconic (150 บาท) เฮาส์เบลนด์ Liberty Blend ที่ใส่น้ำส้ม และ Homemade Ginger Beer เติมความสดชื่นลงไป กลิ่นและรสของจิงเจอร์เบียร์ค่อนข้างชัด ใครชอบความหอมหวานของขิง แก้วนี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก

อีกแก้วกับ Salted Caramel Macchiato (128 บาท) ที่เลือกใช้ Blue Blend กับคาราเมลที่ทางร้านทำขึ้นมาเอง แม้จะดูเหมือนใส่คาราเมลมาแบบถูกใจเด็กอ้วนอย่างเรา แต่ต้องบอกว่าแก้วนี้ไม่หวานเลย แต่กลับหอมคาราเมลที่ทางร้านเคี่ยวเองมาก ๆ เลยล่ะ

ขยับมาที่ฝั่งช็อกโกแลตกันบ้าง เราลองสั่ง Iced Craft Chocolate (120 บาท) ที่เราเลือกเป็นโกโก้จากวังน้ำเย็น ที่มีความฟรุตตี ฟลอรัล และออกเบอร์รีเล็ก ๆ กับความดาร์กที่ประมาณ 70% ดื่มง่าย ยังอยู่คอมฟอร์ตโซนของการดื่มโกโก้อยู่นะ
นอกจากนี้ยังขอลอง House Blend มาในแก้วร้อน (110 บาท) ที่ต้องบอกว่ารสช็อกโกแลตอวลอยู่ในปากมาก ๆ รสชาติมีมิติลงตัว หอมหวานนำ มาเปรี้ยวปลายหน่อย ๆ ถือเป็นช็อกโกแลตที่ค่อนข้างถูกใจเราเลย

นอกจากเครื่องดื่ม ที่สาขานี้ก็ยังมีอาหารเสิร์ฟเช่นกัน โดยจะเป็น All-Day Breakfast & Brunch ที่สามารถฝากท้องได้ทั้งวัน เน้นการทำแบบ Home cook วัตถุดิบหลายอย่างทางร้านทำขึ้นมาเอง เช่นกลุ่มของ Pickle ต่าง ๆ
เราลองสั่งมาทั้ง Bruschetta Smoked Salmon Toast (250 บาท) ซิกเนเจอร์ดิชของทางร้าน ที่ใช้เป็นขนมปัง Sourdough ชิ้นหนา ท็อปด้วยสลัดมะเขือเทศบรูสเก็ตตา แซลมอนรมควันสไตล์ดอร์นิกที่ทางร้านทำเอง และไวด์ร็อกเก็ต โรยน้ำมันมะกอกปิดท้าย

ถัดมากับ Spaghetti Aglio E Olio (199 บาท เพิ่มเบคอน 249 บาท) เส้นสมาเกตตีแบบอัลเดนเต้ ผัดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม พริกแห้ง มะกอกดำ ท็อปด้วยเบคอนแผ่นโต จานนี้ต้องบอกว่าแอบแซ่บกว่าที่คิดนะ ส่วนใครอยากเปลี่ยนเป็นเส้นเฟตตูชินี หรือเพนเน ก็สามารถเช่นกันนะ

ปิดท้ายจานโต ๆ กับ COF Breakfast (250 บาท) ชุดอาหารเช้าที่ประกอบไปด้วยเบคอน ไส้กรอกหมูชิ้นโต ขนมปังซาวโดว์ ไข่ข้น เสิร์ฟเคียงกับเห็ดผัด มะเขือเทศบิจิน และผักร็อกเก็ต

แอบบอกว่าอนาคตเราจะได้เจอ Spirit Coffee ในร้านด้วยนะ (ซึ่งไม่แน่ว่าอนาคตอาจขยายเวลาปิดร้านนานขึ้น และอาจจะเจอในรูปแบบของบาร์ก็ได้ ใครจะไปรู้) เราชอบบรรยากาศที่เป็นกันเอง และความสงบที่มีในย่านนี้ ก็ทำให้เราสามารถมานั่งรีแลกซ์ หรือเป็นจุดนัดพบแห่งใหม่ของชาวพหลโยธินและเสนานิคมได้สบาย ๆ เลยล่ะ
Cof And Cow At Sena Nikhom
เปิดทุกวัน เวลา 09:00 – 18:00 น.
(Last Order อาหาร 17:30 น. และเครื่องดื่ม 17:50 น.)
ซอยพหลโยธิน 34 เสนานิคม
BTS เสนานิคม แล้วต่อพี่วิน | จอดรถได้ที่ซอยพหลโยธิน34 แยก 5 และแยก 8