ย่านสาธุประดิษฐ์ มีคาฟ่เปิดใหม่ให้เราได้ไปแวะเวียนอีกแล้ว ถ้าใครจำได้ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ Routeen. เองได้ไปคาเฟ่ย่านสาธุประดิษฐ์บ่อยมาก ๆ เรียกได้ว่าเป็นย่านที่ป๊อบสุด ๆ ในปีนี้อีกแห่งเลยล่ะ อย่างล่าสุดเราได้เจอกับ Blue Coffee สาธุประดิษฐ์ 29 ร้านกาแฟแบบ Daily Coffee ที่คอกาแฟ และคนทำงานจะต้องถูกใจ ซึ่งจริง ๆ แล้ว Blue Coffee เนี่ยเป็นแบรนด์แฟรนไชส์ที่มาจากเชียงใหม่เลย ที่นี่ถือเป็นสาขาแรกในกรุงเทพฯ
คุณ ต่อ-ธนิต สุวณิชย์ หนึ่งในเจ้าของแบรนด์ Blue Coffee เล่าให้ Routeen. ฟังว่า Blue Coffee ถือเป็นร้านกาแฟแบรนด์ลูกของ The Baristro ร้านกาแฟชื่อดังในเชียงใหม่ เกิดจากความรู้สึกที่หลังทำร้าน The Baristro ประสบความสำเร็จแล้ว อยากลองทำร้านกาแฟที่เข้าถึงง่ายขึ้น ในราคาที่ไม่สูงมาก
และอยากทำร้านให้มีพื้นที่ให้คนสามารถนั่งทำงานได้ ได้ไอเดียมาจากประสบการณ์ส่วนตัวตอนไปต่างประเทศ ที่เห็นคนทำงานแบบ Digital Nomad (คนที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ แบบ Work from anywhare) ค่อนข้างเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคนเหล่านี้ก็ต้องการพื้นที่ในการทำงานที่สะดวก ทำให้ร้านแบบ Co-working Space ค่อนข้างเป็นที่นิยม และจริง ๆ เชียงใหม่เองก็มีชื่อเสียงในเรื่องของ Digital Nomad เป็นแหล่งที่ชอบมาทำงานอยู่แล้ว เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Blue Coffee ขึ้นมา
“สิ่งที่เรารู้สึกได้คือเชียงใหม่ก็เป็นเมืองที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องของ Digital Nomad เลยเกิดไอเดียว่าจริง ๆ คนที่ทำงานข้างนอกกับการที่มานั่งดื่มกาแฟดี ๆ สักแก้ว ถ้ามันสามารถ Combine 2 สิ่งนี้กันได้ มันจะเป็นสิ่งที่ดีมาก”
โจทย์ในการทำร้านเลยเป็นกาแฟที่เข้าถึงได้ และต้องมีพื้นที่ให้คนสามารถนั่งทำงานได้ ที่ Blue Coffee เลยจะมีปลั๊กให้ลูกค้าค่อนข้างเยอะ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องการนั่งแช่สักเท่าไหร่ โดยเริ่มเปิดสาขาแรกในคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และต่อมามีสาขาแม่เหียะ และนิมมาน กลายเป็น 3 สาขา
ส่วนสาขาที่ 4 อยู่ที่อยู่ที่กรุงเทพฯ โดยอยู่ในตึกใหญ่ริมถนนระหว่างสาธุประดิษฐ์ 29 และ 31 โดยสาขานี้เป็นการขายแฟรนไชส์ โดยผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์นอกจากจะเปิดร้านกาแฟแล้ว ยังมีช้อปนาฬิกาแบรนด์ Hi-end อีกหลายแบรนด์ ทั้ง Edox, UNDONE, VILHELM PRIZM SKELETON, Xin และ Behrens
เป็นการขายแฟรนไชส์ โดยที่ทางแบรนด์ยังคงดูแล Operation แบบครบวงจร ทั้งสูตรเมนู การเทรนด์พนักงาน จนถึงซัพพลายวัตถุดิบต่าง ๆ ส่งตรงมาจากเชียงใหม่เลย เพื่อควบคุมให้ได้คุณภาพเท่าเทียมกัน คุณต่อบอกเราว่า Blue Coffee ตั้งใจทำให้เป็นแฟรนไชส์ตั้งแต่แรก แต่ทุกสาขาจะต้องมีคอนเซปต์เดียวกันคือ อยากให้เป็น Community ของสังคมคนทำงาน รองรับกลุ่ม Nomad ได้ ในขณะเดียวกันก็ได้ดื่มกาแฟที่ดีในราคาที่เหมาะสม (อเมริกาโน่ เริ่มต้นเพียง 70 บาท)
อีกหนึ่งสิ่งที่ทางร้านค่อนข้างให้ความสำคัญ คืออุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ จะต้องใช้แบรนด์ที่ดี กำหนดว่าจะต้องใช้เครื่องกาแฟที่มีความ hi-end ที่มีคุณภาพสูง และได้มาตรฐาน เพื่อรักษาคุณภาพ และความเสถียรของรสชาติกาแฟ
“ถึงแม้เราจะเป็นแฟรนไชส์ที่ขายในราคาที่ไม่ได้สูงมาก แต่เราซีเรียสเรื่องอุปกรณ์และเครื่องมือ เพราะมันจะทำให้กาแฟค่อนข้างนิ่งกว่า เราก็เข้ามาดูทั้งในเรื่องของบรรยากาศโดยรวม จนถึงเครื่อง Machine ต่าง ๆ”
ในด้านบรรยากาศ ความเป็น Blue Coffee จะเน้นการดีไซน์ที่ไม่หวือหวา เน้นมินิมอลเพื่อให้คนสามารถมาทำงานแล้วรู้สึกผ่อนคลาย และแน่นอนว่าต้องเหมาะกับคนทำงาน โดยจะกำหนดให้โต๊ะต้องมีความสูงอย่างน้อย 75 เซนติเมตร เพราะง่ายสะดวกต่อการนั่งทำงาน มีเก้าอี้ที่นั่งสบาย รวมถึงปลั๊กที่ซัพพอร์ตให้ลูกค้าได้ใช้อย่างเพียงพอ
ถ้าถามว่า เราจะได้เจอ Blue Coffee ที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ อีกบ้างไหม คุณต่อแง้มว่าในอนาคตก็อาจจะเจอ Blue Coffee หลายแห่งมากขึ้น รวมถึงในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย มีแพลนที่จะขยายอยู่แล้ว เพียงแต่อยากจะค่อย ๆ โต เพราะมองว่าการจะไปแต่ละจังหวัดเราก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค อยากเป็นร้านกาแฟที่ตอบโจทย์คน Local ได้จริง ๆ
เมนูที่ต้องลอง Blue Coffee สาธุประดิษฐ์
ส่วนเมล็ดกาแฟต่าง ๆ ก็ส่งตรงมาจากเชียงใหม่ ซึ่ง Blue Coffee มีโรงคั่วเป็นของตัวเอง ที่ร้านจะมีกาแฟ Basic ให้เลือก 3 ตัว คือ House Blend ของร้านที่เป็น ไทย-บราซิล คั่วเข้ม (แต่ไม่ขม ไม่ติดไหม้) ออกโทนนัทตี้ช็อกโกแลตหน่อย ๆ อีกตัวเป็นเมล็ด Myanmar คั่วกลาง มีความฮันนี่อโรม่า และเมล็ดไทยจากปางขอน เชียงราย คั่วอ่อน มีความฮันนี่คาราเมล
เมนูคลาสสิคของที่ Blue Coffee จะเน้นที่กาแฟเป็นหลัก เป็น Daily Coffee ที่มากินได้ทุกวัน ส่วนเมนูซิกเนเจอร์ จะใส่ความครีเอทีฟขึ้นมาอีกนิด เพิ่มรสชาติและความสนุกให้เป็นทางเลือกกับลูกค้า
เราได้ลองเมนูซิกเนเจอร์ของร้านหลายตัว เริ่มจาก Little Boy (130 บาท) เป็นลาเต้ที่ใช้กาแฟ House Blend เพิ่มความสนุกด้วยไซรัปส้ม รสกาแฟเข้มข้นสู้นมได้ดี มีกลิ่นส้มปลาย ๆ ไม่ได้หวานมากนัก
อีกแก้วเป็น Noire – นัวร์ (130 บาท) แก้วนี้เป็นกาแฟ Cold Brew ที่ใช้เมล็ด House Blend ของทางร้าน ผสมผสานรสชาติน้ำทับทิม และมีไซรัปกุหลาบหอมเตะจมูก เปรี้ยวหวานไลต์ ๆ ดื่มเพลิน ๆ และ Jaunes – โจนส์ (120 บาท) เป็นเมนูสไตล์ม็อกเทล Refreshing มีมะลิ เลมอน และไซรัปพีชสูตรพิเศษของทางร้าน ท็อปด้วยพีชเชื่อม รสเปรี้ยวอมหวานสดชื่นดีมาก ๆ
ส่วนขนมลองเป็น Lemon Pound Cake (90 บาท) บัตเตอร์เค้กเนื้อเบา ๆ แต่ไม่ร่วนกระด้าง หอมเนยและความเปรี้ยวของเลมอน ตัวซอสเลมอนที่เคลือบอยู่จะมีความเปรี้ยวหวานฟีลเหมือนเกล็ดน้ำตาล อร่อยมาก
Blue Coffee สาขา สาธุประดิษฐ์
เปิดทุกวัน 07:00 – 18:00 น.
สาธุประดิษฐ์ 29
BTS สุรศักดิ์ แล้วต่อพี่วิน | หน้าร้านจอดรถได้ 2-3 คัน
Google Maps