มนต์เสน่ห์ของเจ้าพระยา จะดึงดูดทุกคนให้มาแวะเวียนและชมความสวยงามของแม่น้ำสายหลักของกรุงเทพฯ แห่งนี้เสมอ ยิ่งถ้ามีสถานที่ที่สามารถแสดงความงามของแม่น้ำเจ้าพระยาได้มากขึ้น ก็ยิ่งเป็นที่สนใจได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับคาเฟ่แห่งใหม่ชิดติดเจ้าพระยาอย่าง BAAN MANEE BKK (บ้านมณี) แห่งนี้


Baan Manee BKK ตั้งอยู่ฝั่งธนฯ ย่านบางยี่ขัน ที่ต้องบอกว่าหากเปิดแมปส์อาจจะดูซับซ้อนสักหน่อย แต่จริง ๆ แล้วมาไม่ยากเลย เพราะสามารถเข้าได้หลายทางมาก ๆ ทั้งจากฝั่งสมเด็จพระปิ่นเกล้า หรือซอยอรุณอัมรินทร์ 30 ก็ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากขับรถมาจะต้องจอดรถที่วัดดาวดึงษารามนะ แล้วเดินทะลุชุมชนมาไม่ไกลก็ถึง (เราชอบตอนที่ได้เดินผ่านชุมชนมาก ๆ เพราะเราจะได้เห้นวิถีชีวิตของชาวบ้านริมแม่น้ำแถบนี้ที่มีเสน่ห์ไม่น้อยเลยล่ะ)


เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบกับพื้นที่กว้างของคาเฟ่แบบโอเพ่นแอร์ ที่ขยับขยายพื้นที่ไปจนถึงขอบแม่น้ำ มาพร้อมกับหน้าต่างบานใหญ่ทั้งแถบริมเจ้าพระยา เปิดรับวิวกันแบบพาโนรามิก ให้เราได้ใกล้ชิดแม่น้ำเจ้าพระยากันแบบใกล้ ๆ (แต่ไม่ต้องกลัวตกนะ เพราะยังมีแผงคอนกรีตยื่นออกไปนอกหน้าต่างอยู่) และยังมองเห็นป้อมพระสุเมรุ ไปจนถึงย่านพระอาทิตย์ฝั่งตรงข้ามอีกด้วย


เราจะเห็นป้าย “อุดมแพทย์” ติดอยู่ที่ผนังของคาเฟ่ นั่นเพราะที่นี่เคยเป็นคลินิกรักษาโรคเล็ก ๆ ของชุมชนมาก่อน เดิมทีที่นี่ถูกเรียกว่า บ้านริมน้ำ โดยแต่เดิม ที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินพระราชทานแก่ต้นตระกูลมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ตัวเรือนทำมาจากไม้ทั้งหลัง

“เราชอบที่ Baan Manee BKK เลือกที่จะเป็นแบบเปิดโล่งรับลมธรรมชาติ ซึ่งด้วยที่ตั้งและการที่อยู่ริมน้ำแล้วทำให้อากาศไม่ร้อนเลย หยิบจับเอาของเก่ามาตกแต่งและประดับประดาไปทั่วร้าน อาทิ โต๊ะที่ดัดแปลงมาจากจักรเย็บผ้า พิมพ์ดีด หรือตู้เก็บของโบราณ”
เมื่อมีอายุยาวนานกว่า 118 ปี บ้านหลังนี้ก็เคยเป็นอะไรมามากมาย ในสมัยคุณเทียด ที่นี่เคยเป็นโรงต่อเรือไม้เก่าแก่มาก่อน (ที่อุปกรณ์บางชิ้นยังคงมีให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้) หรือในสมัยรุ่นคุณยาย ที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนเป็นคลินิกรักษาคนในท้องถิ่น ตามที่คุณยายเป็นพยาบาล และคุณตาก็เป็นคุณหมออยู่ด้วยนั่นเอง

มาในรุ่นปัจจุบัน บ้านหลังนี้ก็ถูกปล่อยร้างไว้ไม่ได้ใช้งานกว่า 20 ปี จนเกิดความตั้งใจที่จะปลุกบ้านหลังนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยใช้เวลารีโนเวทนานกว่า 4 ปีเลยทีเดียว


เราชอบที่ตัวคาเฟ่เลือกที่จะเป็นแบบเปิดโล่งรับลมธรรมชาติ ซึ่งด้วยที่ตั้งและการที่อยู่ริมน้ำแล้วทำให้อากาศไม่ร้อนเลย (ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็ยังมีโซนห้องแอร์รองรับเช่นกันนะ แถมในห้องแอร์ยังมีหนังสือและบอร์ดเกมต่าง ๆ ให้เล่นด้วย) หยิบจับเอาของเก่ามาตกแต่งและประดับประดาไปทั่วร้าน อาทิ โต๊ะที่ดัดแปลงมาจากจักรเย็บผ้า พิมพ์ดีด หรือตู้เก็บของโบราณ

มาพร้อมกับโซนมหาชนอย่างที่นั่งริมหน้าต่าง ที่ต้องเล็งไว้และจับจองกันเร็วสักหน่อย แต่รับรองว่าได้มุมสวย ๆ ไว้แชะภาพแน่นอน อ้อ แอบบอกว่าสามารถขึ้นไปนั่งที่ชั้น 2 ได้ด้วยนะ โดยชั้นบนจะเป็นโต๊ะบาร์ยาว ให้เรามองวิวเจ้าพระยาได้เต็ม ๆ ตา นอกจากนี้ ที่ชั้นบนยังเป็นส่วนของที่พัก ที่มีให้บริการแบบส่วนตัวเพียง 4 ห้อง ที่ดีไซน์ไม่ซ้ำกัน แต่ยังคงความโคซี่และโฮมมี่ ด้วยวัสดุไม้เป็นหลัก

โดยชื่อห้องอย่าง “มรกต” “ชมพูนุท” “พลอย” และ “ทับทิม” ก็มาจากชื่อของคุณทวด พี่น้องขอิงคุณทวด และคุณยาย ที่เคยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ แถมยังสืบต่อมาเป็นชื่อสถานที่แห่งนี้อย่าง “บ้านมณี” ที่เชื่อมโยงกับชื่อของทุกท่านนั่นเอง

พาร์ตเครื่องดื่มก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะมีเมนูซิกเนเจอร์ที่หยิบเอาชื่ออัญมณีทั้ง 4 เดียวกับชื่อห้อง มารังสรรค์ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่น่าสนใจ เราได้ลอง ทับทิม (165 บาท) ชาไวด์เบอร์รี่ น้ำทับทิม และเลมอน ที่เสิร์ฟมาในขวด ให้เราเทลงแก้วสวย ๆ ได้เอง และยังมีทับทิมสดใส่ในกระทงใบเตยวางข้างปากแก้วมาด้วย

อีกแก้วเราขอลอง Orange Matcha (145 บาท) มัตฉะเข้มข้น ติดฝาดเล็ก ๆ กับน้ำส้มสดหอมหวาน ที่เข้ากันได้ดี นอกจากนี้ยังมีขนมไทยต่าง ๆ และอาหารจานเดียวทานง่าย ๆ ไว้รองรับอีกด้วย