Routeen. ขอชวนพักอีกหนึ่งโรงแรมแบรนด์ไทยในเกียวโต ที่ตั้งอยู่ในย่าน Shijo เดินแป๊บเดียวก็ถึงถนน Shijo และย่าน Teramachi ที่ชอปปิงสนุกจนลืมไปเลยว่าที่เกียวโตก็มีถนนชอปปิงอลังการแบบนี้ด้วย ที่สำคัญคือโรงแรมยังตั้งแบบกลืนไปกับชุมชนสุด ๆ กับ ASAI Kyoto Shijo ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมานี้เอง
ASAI เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ในเครือ Dusit Thani ที่เราอาจเห็นแบรนด์นี้บ่อย ๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งในย่านเยาวราช และในย่านสาทร นี่คือสาขาต่างประเทศแห่งแรกของแบรนด์นี้ และมีกลายสิ่งเลยที่เราชอบจนตัดสินใจเข้าพักที่นี่ตลอดการเดินทางในเกียวโต
เราอาจคุ้นเคยกับหน้าตาที่สดใสของ ASAI ในบ้านเรา แต่พอมาตั้งอยู่ที่เกียวโต เขากลับออกแบบให้ตัวโรงแรมมีความกลมกลืนกับสิ่งปลูกสร้างในเมืองมรดกโลกแห่งนี้มากขึ้น ถ้าดูจากข้างนอกก็คือเน้นงานตกแต่งที่ไหลไปกับบ้านเรือนในละแวกนี้ ดูไม่โดด เป็นอีกหนึ่งอันเดียวกันกับย่าน
ส่วนข้างในเองก็ยังหยิบเอาความเป็นญี่ปุ่นมาลดทอน ผสมกับความร่วมสมัย และเทคโนโลยี พอเราเข้ามาก็จะเจอจุดเช็กอินที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงแค่กรอกรหัสการจองที่เครื่อง สแกนพาสปอร์ต แล้วเริ่มกรอกข้อมูลตามหน้าจอที่แจ้งไว้ หยิบคีย์การ์ดที่อยู่ข้าง ๆ เครื่องมาสแกน ก็เดินขึ้นห้องชิลล์ ๆ ได้เลย (แต่สงสัยจุดไหน ก็มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่างนะ) แอบบอกว่าคนไทยอย่างเราอุ่นใจมาก เพราะเครื่องเช็กอินมีภาษาไทยด้วยนะ
ชั้นต้อนรับนี้โดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์บาร์ที่มีไม้สานกันอยู่ด้านบน เขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากโครงสร้างสถาปัตยกรรมของ Kiyomizu-Dera (วัดน้ำใส) บริเวณฐานของวัดที่มีโครงไม้สาน ๆ สะดุดตาที่เราคุ้นเคยนั่นแหละ ส่วนกระเบื้องหินที่เคาน์เตอร์บาร์ (รวมถึงพื้นด้วย) ก็ยังล้อไปกับวัสดุปูพื้นถนน Sannen Zaka ด้วย แม้แต่สีสันของวัสดุผ้าต่าง ๆ ที่ใช้สีส้ม ดำ และเทา ก็ยังถอดมาจากสีของเจดีย์ Yazaka ที่โด่งดังของที่นี่นั่นเอง
“เราอาจคุ้นเคยกับหน้าตาที่สดใสของ ASAI ในบ้านเรา แต่พอมาตั้งอยู่ที่เกียวโต เขากลับออกแบบให้ตัวโรงแรมมีความกลมกลืนกับสิ่งปลูกสร้างในเมืองมรดกโลกแห่งนี้มากขึ้น”
พื้นที่ด้านล่างนี้ยังมีในส่วนของร้านอาหาร โซนโต๊ะทำงาน และมุมเล็ก ๆ ให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ก็ยังแอบตกแต่งด้วยสิ่งละอันพันละน้อยจากศิลปินและช่างในเกียวโตมารวมเอาไว้ ให้ได้มู้ดที่กลมกลืนดีเชียวล่ะ
ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 6 ไทป์ จำนวน 114 ห้อง แม้ขนาดห้องจะไซซ์กะทัดรัด แต่ดีไซน์ออกมาลงตัวและใช้งานได้ดีเลย เราชอบที่เขาออกแบบเตียงให้เหมือนเสื่อตาตามิที่ยกระดับขึ้นมา ทำให้มีช่องว่างขนาดใหญ่ด้านล่าง สามารถลากกระเป๋าเข้าไปเก็บข้างใน ไม่เกะกะพื้นที่ห้องได้ (แถมยังได้ฟีลเหมือนนอนฟุตงของญี่ปุ่น แต่เป็นเตียงหนาและหมอนนุ่มแบบดูดวิญญาณสุด ๆ)
ภายในห้องยังมีหมอนอิงที่เรียกว่า Ojami (โอจามิ) ที่ช่วยสร้างมู้ดญี่ปุ่นดั้งเดิมมากขึ้น อีกสิ่งไฮไลต์คือในห้องเขามีเครื่อง AI ที่ไม่ใช่แค่เป็นลำโพง หรือนาฬิกาปลุกเฉย ๆ แต่เรายังสามารถถามข้อมูลของโรงแรม ถามสภาพอากาศข้างนอก ถามว่าควรไปเที่ยวที่ไหน ไปกินร้านอาหารอะไรอร่อย ๆ ดี แม้แต่ของเล็กน้อยอย่างหารหัสไวไฟไม่เจอ หรือลืมเอาสายชาร์จมาจะยืมได้ไหม ก็ยังถามเจ้าเครื่องนี้ได้ นี่มันผู้ช่วยส่วนตัวประจำห้องชัด ๆ
อีกอย่างที่เราชอบเป็นพิเศษ คือการให้บริการแบบคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของที่นี่ เขาจะลดใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง พวก Amenities ต่าง ๆ ก็จะใช้แบบ Sustainable มากขึ้น หรืออย่างน้ำดื่มในห้อง ก็เปลี่ยนจากขวดพลาสติก เป็นน้ำแร่ในขวดสแตนเลสที่สามารถรีไซเคิลได้ง่าย แถมยังมีตู้กดน้ำด้านล่างให้เติมได้ตลอด
เรื่องโลเคชันก็คือปังพอ ๆ กัน เราตัดสินใจพักที่นี่เพราะตัวโรงแรมตั้งอยู่ในย่านชิโจ เป็นย่านที่มีตรอกซอกซอยขนาดเล็กให้เราได้เดินลัดเลาะเที่ยวเล่นได้ เพราะนอกจากจะเป็นย่านที่พักอาศัยแล้ว ก็ยังมีร้านรวงต่าง ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ อย่างเราที่ชอบตามหาร้านอาหาร คาเฟ่ หรือสเปซใหม่ ๆ ก็เลยชอบมาก ๆ
แถมเดินเล่นไปเรื่อย ๆ แป๊บเดียวก็โผล่มายังย่านชอปปิงชื่อดังอย่างถนนชิโจ หรือตรอกเทระมาจิกันแล้ว หรือจะต่อรถไปวัดดัง ๆ ที่ต้องไม่พลาดถ้ามาเกียวโต ตรงนี้ก็เป็นจุดเชื่อมต่อที่ดี เพราะไปแต่ละที่ก็ใช้เวลาเพียงนิดเดียวถึง หรือจะเข้าโอซาก้า ก็ไปขึ้นรถไฟที่สถานีชิโจ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงกลางเมืองโอซาก้าแล้ว สะดวกสุด ๆ เลยล่ะ
อีกหนึ่งสิ่งที่ฮอตฮิตมากของ ASAI Kyoto Shijo คงต้องยกให้ร้านอาหารไทยภายในโรงแรมอย่าง Soi Gaeng (ซอยแกง) ที่มีทั้งชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวแวะเวียนที่ลิ้มลองแน่นร้านตลอดวันจนเราเองก็อดไม่ได้ที่จะชิมบ้าง
ฟังจากชื่อก็น่าจะรู้ว่าที่นี่เด่นเรื่องแกง และด้วยตัวโรงแรมเองก็ตั้งอยู่ในซอยของย่านชิโจ จึงใข้ชื่อว่า “ซอยแกง” นั่นเอง โดยห้องอาหารนี้ได้ เชฟเลย์ – กิติชัย เชฟในเครือดุสิตที่มีประสบการณ์ในการทำอาหารไทยมาอย่างโชกโชน พาทีมมารังสรรค์รสชาติอาหาร แบบตั้งใจมอบความจัดจ้านแบบไทยแท้ ๆ เหมือนกินที่บ้านเรา ออกมาในหน้าตาที่เข้าถึงง่าย สบาย ๆ ทำให้ชาวเกียวโตหลายคนที่นี่ติดใจ และแวะเวียนกันมาอย่างสม่ำเสมอ
Soi Gaeng เปิดให้บริการทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น เปิดตั้งแต่ 07:00 – 23:00 น. มาพร้อมแกงชนิดต่าง ๆ ทั้งแกงเขียวหวาน แกงเผ็ด แกงพะแนง มัสมั่น พร้อมจานเคียงแบบไทย ๆ ให้เลือกอีกมากมาย โดยเลือกใช้พริกแกงจาก Dusit Gourmet ส่งตรงมาจากกรุงเทพฯ ทำให้รสชาติเหมือนที่ประเทศไทยแน่นอน
ในส่วนของบาร์เองก็มีชื่อว่า Soi Gaeng Bar นั่นแหละ โดยพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มต่าง ๆ ให้เราได้นั่งจิบนั่งชิลล์กันเพลิน ๆ ความน่าสนใจอยู่ที่ซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่หยิบเอาวัตถุดิบไทยมาประกอบด้วย เช่น ผักชีโมจิโต (1,100 เยน) และกะเพราจินแอนด์โทนิค (1,100 เยน) ซึ่งแอบบอกว่าแบรนด์ Dusit เขามีฟาร์มผักและไร่ชาเป็นของตัวเองในเกียวโตด้วยนะ โดยปลูกและดูแลโดยพนักงานของโรงแรม ดังนั้นผักที่นำมาใช้ทั้งในค็อกเทล และประกอบอาหาร ล้วนเป็นผักสดปลอดสารจากฟาร์ม
จานแกงเราขอลองเป็นแกงพะแนงหมู (1,320 เยน) ทางร้านเลือกใช้หมูส่วนสันคอที่มีความนุ่มมากกว่าส่วนอื่น มาแกงกับเครื่องแกงพะแนงจาก Dusit Gourmet แกงมาแบบน้ำขลุกขลิก รสชาติหวานเค็ม และเข้มข้น คลุกข้าวแล้วอร่อยมาก ๆ ทำให้หายคิดถึงบ้านเราได้เลย
หมูกรอบคั่วพริกเกลือ (825 เยน) เมนูคุ้นเคยแต่พอมาอยู่ที่ญี่ปุ่นก็อาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ประเทศญี่ปุ่น หมูสามชั้นจะไม่มีส่วนหนังติดมาด้วย ทำให้จำเป็นต้องสั่งแบบเฉพาะกับ Supplier เพื่อให้ได้หมูกรอบแบบที่คนไทยกินกันจริง ๆ นำมาคั่วพริกเกลือรสเผ็ดร้อนเหมือนกินที่ไทยเป๊ะ
ต่อกันที่ ลาบหมูทอด (660 เยน) ที่เครื่องลาบก็ทำกันที่นี่ (ไปจนถึงข้าวคั่ว ก็คั่วก็โขลกกันที่นี่ทั้งหมดนะ) ยำตะไคร้กุ้งสด (650 เยน) เมนูฮอตฮิตที่ลูกค้าชื่นชอบ น้ำยำปรุงสดจานต่อจาน แม้จะไม่แซบนัวแบบไทย แต่ก็จัดจ้านและถึงเครื่องในแบบที่หาในร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นค่อนข้างยากเลย
เฟรนฟรายด์ต้มยำ (880 เยน) ที่เรียกว่าเป็นจานซิกเนเจอร์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เราอาจคุ้นเคยกับมันฝรั่งทอดแล้วนำไปคลุกกับผงรสต้มยำ แต่ที่ Soi Gaeng เลือกที่จะใส่เครื่องต้มยำจริง ๆ โดยนำมาเคล้ากับข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด น้ำพริกเผา ในกระทะ ปรุงรสชาติแบบต้มยำจริง ๆ เป็นอีกจานที่กินได้บ่อยไม่เบื่อเลยล่ะ
ASAI Kyoto Shijo จึงกลายเป็นหนึ่งโรงแรมที่เราหมายมั่นไว้ว่า ทุกครั้งที่มาเกียวโต ก็น่าจะเช็กอินเข้าพักที่นี่อย่างแน่นอน เพราะทั้งที่ตั้ง การเดินทาง ห้องพัก ไปจนถึงราคา (ที่เป็นมิตรสุด ๆ) และห้องอาหารไทยที่ถูกปากเหมือนอยู่บ้าน ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วว่า ทำไมเราถึงกดหัวใจให้ที่นี่