อีกหนึ่งร้านไฟน์ไดนิงที่เราจดเอาไว้ในใจมาตลอดว่า หากมีแขกเหย้าแขกเยือน การพาไปลองสัมผัสอาหารไทยในระดับใหม่ ๆ ที่ ADHOC BKK น่าจะสร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ด้วยรสชาติที่จัดจ้านแบบไม่ประนีประนอม ยังคงเก็บทุกมิติของรสอาหารไว้ครบ (เรียกว่าเผ็ดเป็นเผ็ด หวานเปรี้ยวเค็มมาครบ) และเมื่อ Routeen. ได้รู้ว่าตอนนี้ทางร้านได้อัปเดต Tasting Menu ใหม่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เราก็เลยไม่รอช้า แวะเวียนมาอีกครั้งทันที


ตัวร้านตั้งอยู่ในซอยพร้อมศรี 1 ที่นั่งรอเราอย่างสงบอยู่ท้ายซอย กับหน้าร้านสีเข้ม มีเพียงแสงไฟสีนวลเล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างและประตู เมื่อเปิดเข้าไปจะพบกับหน้าต่างกระจกบานยาว ที่โชว์การทำงานของทีมเชฟอยู่ในครัวในรูปแบบกึ่ง Open Kitchen

และยังมีโต๊ะไม้ยาวที่เหมาะกับการเข้าใช้บริการแบบกลุ่ม ที่ชั้นนี้ตกแต่งโดยรอบด้วยพื้นแกรนิตสีขาว โคมไฟคริสตัล และเตาผิงจำลองที่สร้างบรรยากาศเหมือนได้ดินเนอร์ในบ้าน ที่สมาชิกในครอบครัวจะมารวมตัวกันในเทศกาลแห่งความสุข

ADHOC BKK มีทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้น 2 จะเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว เพราะมีเพียง 2 โต๊ะที่รองรับการมาเป็นคู่ และมาในบรรยากาศที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ชั้นล่าง ส่วนที่ชั้น 3 จะถูกตกแต่งใหม่ด้วยโทนที่เข้มขึ้นด้วยผนังไม้ และเฟอร์นิเจอร์ที่ดูสุขุมขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังสอดแทรกสีสันผ่านของตกแต่งให้ดูไม่เป็นทางการจนเกินไป

ที่นี่มาในรูปแบบของ Private Dining ที่ต้องสาำรองที่นั่งก่อนเข้าใช้บริการทุกครั้ง และตั้งใจสร้างคอร์สเมนูที่ออกแบบมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ นำทีมโดย เชฟป๊อบ – พิชชกร รมบุตร โดยนำเสนอความพิเศษนี้ตั้งแต่ชื่อร้านอย่าง Adhoc ที่หมายถึง “โดยเฉพาะ” นั่นเอง

โดยใน Seasonal Menu ใหม่นี้ (3,900++ บาท สุทธิที่ 4,590.30 บาท) เชฟป๊อบก็ยังคงคอนเซปต์การรังสรรค์เมนูอาหารจากบุคคลใกล้ตัวในครอบครัว หรือความทรงจำในวัยเด็ก หยิบเอาเมนูไทย ๆ พร้อมสนับสนุนการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น (วัตถุดิบใช้ในประเทศไทยทั้งหมด) แล้วนำมาทวิสต์ ปรับเปลี่ยนการนำเสนอเสียใหม่
เพื่อสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารให้พิเศษยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังคงไม่ลืมใส่ความเป็นตัวเอง และเรื่องราวของ “สำรับตำรับคุณยายที่นครศรีธรรมราช และกำแพงเพชร ที่สืบทอดมา” ผ่านคอร์ส Modern Thai Experience นี้ด้วย

ในคอร์สนี้เราสามารถเลือกจับคู่กับเครื่องดื่มได้ด้วย โดยมีให้เลือกทั้งไวน์และคอมบุชา (สำหรับคอมบุชา สามารถเลือกได้ทั้งแบบ 4 แก้วมีแอลกอฮอลล์ ราคา 1,290 บาท หรือ 4 แก้วแบบไม่มีแอลกอฮอล์ ราคา 990 บาทได้)
และไวน์ก็สามารถ Pairing ได้ทั้งแบบ 3 แก้ว (1,900 บาท) และ 5 แก้ว (2,500 บาท) หรือจะเป็นคอร์ส Chef’s Pairing (3 แก้ว 1,350 บาท 5 แก้ว 2,700 บาท) ที่ทางเชฟจะเลือกเครื่องดื่มท้องถิ่งจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย มาจับคู่กับแต่ละจานให้เรา

เปิดคอร์สด้วย Amuse-Bouche ชุดเมนูเปิดต่อมรับรสที่มาพร้อม 3 เมนู เริ่มที่ Blue Crab แครกเกอร์ที่ทำมาจากถั่วเขียว ท็อปด้วยคาเวียร์จากหัวหินบ้านเรา คำนี้ได้รสจัดจากเครื่องแกง และเป็ดปลายนิด ๆ เป็นคำเปิดที่จัดจ้านกำลังดี

ต่อด้วย Khao Yai Sweet Corn คำนี้ได้แรงบันดาลใจมาเมื่อตอนที่เชฟป๊อบไปเรียนที่อินเดีย และหลงใหลในรสชาติของเครื่องเทศอินเดีย กับอกไก่ย่างถ่าน เม็ดบัว และผักลีค เติมความหวานด้วยข้าวโพดหวาน และข้าวโพดทับทิมสยามจากเขาใหญ่ คำนี้รสจัดจ้านด้วยเครื่องเทศแบบเต็ม ๆ
“โดยใน Seasonal Menu ใหม่นี้ เชฟป๊อบก็ยังคงคอนเซปต์การรังสรรค์เมนูอาหารจากความทรงจำในวัยเด็ก และเรื่องราวของ ‘สำรับตำรับคุณยายที่นครศรีธรรมราช และกำแพงเพชร ที่สืบทอดมา’ ผ่านคอร์ส Modern Thai Experience นี้ด้วย”

และ Nan Kurobuta ที่ได้ไอเดียมาจากเมนู “ไข่กระทะ” จากจังหวัดอุดรธานี ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารเวียดนามส่วนหนึ่ง เลือกใช้เป็นหมูสามชั้นรมควันจากจังหวัดน่าน วางลงบันขนมปังกรอบ และท็อปด้วยไข่นกกระทา ยังคงเป็นอีกหนึ่งคำที่หน้าตาใส ๆ แต่รสจัดจ้านไม่แพ้สองคำแรก

มาที่ Giant Trevally เป็นจานที่เชฟป๊อบได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือตำราแม่ครัวหัวป่าก์ ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ โดยจะเสิร์ฟเป็นเมนู “แสร้งว่า” ที่หน้าตาดูโมเดิร์นมาก ๆ ด้านบนเป็นปลากะมงพร้าว ที่นำไป Dry Aged ถึง 3 วัน แล้วนำไปหมักกับเกลือ น้ำตาล และเครื่องสมุนไพร

จานนี้ได้ลำใยมาเป็นตัวเพิ่มรสหวาน ส่วนความเค็มมาจากสาหร่ายพวงองุ่น และรสเปรี้ยวจากส้มซ่า ตอนเสิร์ฟจะเทซอสแสร้งว่า ที่มีกลิ่นหอมของปลากดคังย่าง ตอนกินให้คลุกเคล้าทุกส่วนผสมเข้าด้วยกัน ส่วนตัวชอบเนื้อปลาที่ทำมาค่อนข้างดี ตัวเนื้อมีความเฟิร์มแน่น เข้ากับรสเปรี้ยวนำของแกงถ้วยนี้

ส่วนเราที่ลองเพิ่ม Kombucha มา Pairing นั้น แก้วแรกที่มาเสิร์ฟจะเป็น Yuzu Kombucha สำหรับสามคำและจานแสร้งว่า มีกลิ่นหอมของยุสุค่อนข้างชัด แต่ก็ไม่ได้ออกซิตรัสจนเกินไป เข้ากับจานรสออกปรี้ยวได้ดี

ถัดมากับ Goby โดยเชฟป๊อบได้แรงบันดาจของจานนี้มาจากการนำ 2 ซุปไทย ๆ อย่าง “ต้มยำ“ และ ”ต้มข่า“ เข้าไว้ด้วยกัน โดยฐานจะเป็น Tom Yum Chili Paste กับเห็ดนางรมหลวงย่าง ส่วนโปรตีนจะเป็นเนื้อปลาบู่ ซึ่งเป็นปลาสองน้ำ (ให้เข้ากับคอนเซปต์สองซุปของจานนี้) ที่นำไป Slow Cooked กับซอสต้มข่า ท็อปด้วยข้าวพองกรอบสองสี

จานนี้รสต้มข่าจะเป็นรสหลัก แต่ได้รสของต้มยำมาสร้างมิติที่ซับซ้อนขึ้น และช่วยลดความเปรี้ยวของต้มข่าให้กลมกล่อมขึ้นได้ ส่วนตัวเราชอบที่ทางเชฟใส่กลีบดอกดาหลามาด้วย ค่อนข้างไปได้ดีกับต้มข่าเลยล่ะ อ้อ โดยตั้งแต่จานนี้ไปเปลี่ยนเป็น Berry Kombucha แล้วนะ แก้วนี้จะมีรสหวานขึ้นมากว่าแก้วแรกเล็กน้อย แต่กลิ่นหอมของเบอร์รี่ค่อนข้างชัดเลย


Tapi River Prawn จานนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแกงใบยี่หร่า กุ้งแม่น้ำย่างถ่าน แกะมาเฉพาะส่วนเนื้อ ท็อปด้วยคาเวียร์จากหัวหิน เคียงด้วยแกงใบยี่หร่าที่ใส่มันฝรั่งชิ้นเล็ก ๆ ลงไปด้วย เสิร์ฟคู่กับซุปมะเขือเทศ ที่ใส่เนื้อส่วนก้ามของกุ้งแม่น้ำลงไปด้วย และฐานของซุปก็เป็นไข่ตุ๋นเนื้ิอเนียน ที่ช่วยดับรสชาติเผ็ดร้อนของแกงที่กินคู่กับกุ้งได้เป็นอย่างดี

จัดจ้านมาหลายจาน ทางเชฟจึงขอเบรกเราด้วย Refreshing อย่าง กรานิตาชามะนาว และฮันนี่โยเกิร์ตมูส ใส่โอ้เอ๋วจากภูเก็ตเข้าไปเพื่อเสริมสัมผัสนุ่มหนึบ จานนี้หอมชามาก ๆ แต่ส่วนตัวหากมีโอ้เอ๋วมากกว่านี้อีกนิด น่าจะมีอะไรให้เคี้ยวเพลิน ๆ เพิ่มได้อีอีกหน่อยนะ


ถึงเวลาของ ”สำรับ“ กันแล้ว โดยเสิร์ฟเป็นอาหารไทยทั้งหมด 5 อย่าง เริ่มด้วย แกงเขียวหวานยอดมะพร้าวอ่อน ท็อปด้วยเนื้อเป็ดจากจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่เชฟจะนำไป Dry Aged ถึง 14 วัน ส่วนตัวเราชอบถ้วยนี้มาก ๆ และยกให้เป็น MVP ของคอร์สได้เลย แกงเคี่ยวได้ดี ข้น ชอบที่เชฟเลือกใส่เม็ดพริกไทยอ่อนลงมาด้วย ช่วยเพิ่มรสร้อนในแกงได้ดีสุด ๆ

อีกจานกับ กุ้งกระเบื้องทอดกรอบ ที่ช่วยดับเผ็ดได้ดี หรือจะตัดเลี่ยนด้วย ยำมะเขือยาว ท็อปด้วยไข่เป็ดดองน้ำปลากวน (ที่เราแอบเอาไข่ดองมาคลุกกับข้าวสวย ก็คืออร่อยนัวสุด) และยังมี น้ำพริกสูตรกำแพงเพชร ท็อปด้วยแคปหมูชิ้นโต กินคู่กับผักผลไม้ประจำฤดูกาล

ปิดท้ายด้วย ซุปมะพร้าวปูคั่ว โดยความหวานของซุปมาจากน้ำมะพร้าวล้วน ๆ ที่ในซุปมีสาคูใส่เข้ามาด้วย เป็นอะไรที่แปลกใหม่ แต่ก็เข้ากับซุปได้ดี ทั้งหมดกินคู่กับข้าวสวยสองสี

ปิดท้ายด้วยของหวานกับ สาคูต้นยายฉุย จากควนขนุน จังหวัดพัทลุง เชฟนำเม็ดสาคูไปเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมกะทิน้ำมะพร้าว ท็อปปิงด้วยมะพร้าวกะทิ ข้าวโพดหวาน ขนมโสมนัส และซอสน้ำตาลจาก

และขนมที่รวมร่างระหว่างขนมครก กับสังขยาใบเตย ตัวแป้งขนมครกเชฟใช้เป็นแป้งข้าว ที่ให้สีเหลืองทอง ตอนกินให้เป่าสักนิด (ข้างในร้อนนะ) แล้วชิมได้เลย ล้างปากด้วยชาอู่หลงร้อนผสมโสม ที่ได้ความหวานมาจากชะเอมเทศ

อ้อ ส่วนคอมบุชาจะถูกปิดท้ายด้วย Strawberry Kombucha ที่เข้ากับของหวานได้เป็นอย่างดี เรียกว่า Kombucha Pairing ก็เป็นอีกหนึ่งช้อยส์ที่กำลังได้รับความนิยมในเวลานี้ไม่แพ้กับ Wine Pairing เลยนะ
ADHOC BKK ยังคงไม่เคยทำให้ผิดหวังเรื่องของรสชาติ ที่แม้ว่าหน้าตา หรือเทคนิคการเสิร์ฟจะเปลี่ยนแปลงไปจากจานสำรับไทยที่คุ้นเคยมากขนาดไหน แต่รสชาติยังคงจัดจ้าน ร้อนแรง สมกับเป็นอาหารไทยแบบไม่เคยประณีประนอมกัน
(ถึงกับแอมถามเชฟป๊อบว่าเคยมีชาวต่างชาติมากินแล้วบอกว่าเผ็ดบ้างไหม เชฟบอกว่ามี แต่ก็อยากให้ได้รสชาติแบบที่เรากินกันจริง ๆ) นี่จะเป็นอีกหนึ่งคอร์สที่ไม่ว่าในโอกาสใด หรือแค่อยากได้ประสบการณ์การทานอาหารไทยที่น่าจดจำ สถานที่นี้เป็นคำตอบที่เหมาะสมเลยล่ะ
ADHOC BKK
จองโต๊ะที่ https://cho.pe/AdhocBkk
เปิดทุกวัน เวลา 17:00 – 22:30 น. (ศุกร์ – เสาร์ ปิด 23:00 น.)
ซอยพร้อมศรี 1 สุขุมวิท 39
BTS พร้อมพงษ์ แล้วต่อพี่วิน | มีที่จอดรถ