นอกจากศูนย์การค้า Central Embassy แล้ว ในย่าน เพลินจิต นี้ก็น่าจะมีอาคารสำนักงาน และพื้นที่มิกซ์ยูสอย่าง OCC – One City Centre ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกหนึ่งแห่งนี่แหละ ที่เราแวะเวียนไปอยู่เรื่อย ๆ เพราะจริง ๆ แล้วที่นี่ก็มีร้านรวงต่าง ๆ ตั้งอยู่ไม่น้อย ทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร และบาร์ ให้เราได้ขลุกตัวอยู่ทั้งวัน ตั้งแต่ก่อนเข้างาน ไปจนถึงหลังเลิกงานเลยล่ะ
ที่จริงแล้วภายใน OCC – One City Centre ยังมีร้านค้าอีกมากมาย แต่นี่คือ 5 ร้านในอาคารนี้ ที่ Routeen. อยากแนะนำให้ลองไปกันดูสักครั้ง
% Arabica
สาขา OCC – One City Centre

หากใครเคยไปอาคารสำนักงาน และพื้นที่มิกซ์ยูสต์ใหม่ล่าสุดในย่านเพลินจิตแห่งนี้ น่าจะเคยเห็นสาขานี้ของ % ARABICA กันแล้ว ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่เป็นสาขาแบบไม่ทีที่นั่งในร้าน แต่ก็ไม่ได้มาในแบบ Kiosks เล็กจิ๋วเหมือนกับที่อยู่ในสยามพารากอน ยังพอมีสเปซให้เราเข้าไปยืนรอกาแฟได้อยู่ ด้วยแนวคิดของสาขานี้ที่อยากให้เราออกมาสัมผัสบรรยากาศนอกอาคารกันบ้าง เพราะย่านนี้มีแต่ตึกเต็มไปหมดอยู่แล้ว อีกอย่าง พื้นที่ต่างระดับระหว่างพื้นดิน ไล่ไปจนถึงชั้น 2 ของ OCC ก็สวยและร่มรื่นพอตัวเลยล่ะ

ตัวร้านเก๋ไก๋ตรงที่กรุด้วยกระจกบานใหญ่ทั้ง 2 ฝั่งผนังด้านหน้า ส่วนหลังเคาน์เตอร์ใช้เป็นกระจกหลากสี ที่พอแสงอาทิตย์สาดเข้ามา ก็จะเปลี่ยนสีสันภายในร้านไปด้วย ทำให้ร้านมินิมอลขาวคลีน ดูสนุกขึ้นเยอะ

รูปท็อปบาร์ใหม่ล่าสุดในกรุงเทพฯ ที่ผสานเอาความเป็นไทย และยุโรปเข้าไว้ด้วยกัน ไฮไลต์อยู่ที่บาร์ในปากหนุมานขนาดใหญ่ ที่ตกกลางคืนจะ Mapping ภาพเท่ ๆ ลงไปด้วย แน่นอนว่า Routeen. เองก็แวะไปมาแล้ว และเราจะมาเล่าให้ฟังกันแบบเต็ม ๆ เร็ว ๆ นี้แน่นอน

Enishi ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ตัวร้านตั้งอยู่ด้านหน้าพอดี มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ด้วยความที่อยู่มุมพอดี และติดกระจกบานสูงทั้ง 2 ด้าน เห็นวิวโล่ง ๆ เลยให้ร้านดูโปร่ง และไม่อึดอัด
Enishi เป็นร้านราเมนจากเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น มีสาขา Original 1 แห่ง ส่วนสาขาอื่น ๆ เป็นแฟรนไชส์ ได้รางวัล Michelin Bib Gourmand ในปี 2016 และติดอันดับ The Best 100 Ramen Shops in Japan จาก Tabelog Award หลายปีซ้อน เป็นร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องราเมนแห้ง

สำหรับสาขากรุงเทพฯ เป็นสาขาที่ทาง Enishi มาลงทุนลงแรงนำเข้ามาเองเลย ไม่ใช่การซื้อแฟรนไชส์มาลงทุน ทำให้รสชาติเทียบเคียงกับสาขาโกเบได้แบบหลับตากินแล้วเหมือนนั่งกินที่ญี่ปุ่น ที่บอกว่ารสชาติเหมือนได้ขนาดนี้ เพราะทาง Enishi ส่งตรงเบสน้ำซุปมาจากญี่ปุ่นเลย เพื่อให้ส่วนผสม ความกลมกล่อมของตัวซุปไม่ผิดเพี้ยน ส่วนตัวเส้นจะส่งแป้งที่ผสมมาแล้วให้มาขึ้นเป็นเส้นที่นี่เอง
อ่านบทความฉบับเต็มของ Enishi Thailand ที่นี่

ขึ้นมาที่ชั้น 2 แล้วเดินเข้าตึกจนสุดฝั่ง เพื่อมาพบกับ Green & Been BKK คาเฟ่แสงสวย ที่น่าจะถูกใจทั้งสายคอนเทนต์ และคอกาแฟ อย่างแรกที่เห็นแน่ ๆ คือวิวที่จึ้งใจมาก เพราะตัวร้านเป็นร้านแบบ Open เปิดโล่งติดกับกระจกบานสูงทั้ง 2 ฝั่ง ที่ด้านหนึ่งมองออกไปเห็นวิวสวนสีเขียวสบายตา อีกด้านหนึ่งติดกำแพงของตึกข้าง ๆ ที่บังเอิญมีดีไซน์สวย เหมือนตึกต่างประเทศ ได้ไวบ์อินเตอร์มาก ๆ

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้วิว คือเราได้รู้มาว่า ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ภายใต้ฝีมือของ เชฟ Gaggan Anand (กากั้น อนันต์) เชฟระดับตำนานเจ้าของร้านมิชลินชื่อดัง ผู้หลงใหลในโลกของกาแฟ ร่วมกับ Sühring ร้านมิชลิน ฝีมือเชฟฝาแฝดชื่อดังนั่นเอง
อ่านบทความฉบับเต็มของ Green & Been ที่นี่

คาเฟ่ที่ตั้งใจว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้คนที่เข้ามาพื้นที่นี้ รู้สึกว่าได้ Escape จากข้างนอก ก็จะมีทั้งบรรยากาศของร้าน เสียงเพลงที่เลือกเปิด แม้กระทั่งกลิ่นของร้านที่ต้องคุมกลิ่น รูปลักษณ์ของร้านที่เลือกความเป็นถ้ำมานำเสนอ
นอกจากนี้ยังต้องการให้ทุกคนได้เข้าถึงชาเขียวที่มีคุณภาพ มีช้อยส์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทาง Ksana ตั้งใจคัดชาเขียวที่มีคุณภาพตรงจากเมืองอุจิ ประเทศญี่ปุ่น จากฟาร์มอายุกว่า 400 ปีที่ยังไม่มีคนไทยเจ้าไหนซื้อตรงกับเขามาก่อน

ที่ร้านมีมัตฉะให้เลือก 3 ตัวด้วยกัน ได้แก่ Coastal Breeze ซึ่งเป็นชาเกรดท็อปที่ใช้ในพิธีชงชา ชาตัวนี้จะให้ความรู้สึกรีแลกซ์ ไม่ขม เป็นชาพันธุ์ Samidori, ตัวที่สองคือ Bitter Rainforest เอาใจคนที่ชอบชาติดขมหน่อย ๆ ตัวนี้จึงค่อนข้างสตรอง โดยใช้ชาพันธุ์ Yabukita, สุดท้ายกับ Smokey Peaks เป็นโฮจิฉะที่ค่อนข้างอโรมามาก ๆ และมีความสโมกกี้ขึ้นมาอีกนิด
อ่านบทความฉบับเต็มของ Ksana ที่นี่