หนึ่งในการไปเที่ยว ญี่ปุ่น เราว่าการได้ออกไปตามล่าหาอาหารญี่ปุ่นที่ชอบและติดใจ ก็เป็นอะไรที่อยู่ในลิสต์ของหลายคนแน่ ๆ ว่าจะต้องตามไปชิมให้ได้ และแค่ที่ โตเกียว เองก็มี ร้านอาหาร และ คาเฟ่ เด็ด ๆ มากมายจนลองแทบไม่หมด โดยเฉพาะร้านแนวโลคอลหน่อย ๆ ที่เราอาจเห็นบ่อย ๆ ว่าคนญี่ปุ่นเดินเข้ารัว ๆ แต่อาจไม่ได้อยู่ในลิสต์ร้านที่เราตั้งใจจะไปก็ได้
Routeen. ถือโอกาสนี้แนะนำลิสต์ ร้านอาหาร และ คาเฟ่ ในโตเกียวทั้ง 10 ร้าน ที่อาจไม่หวือหวา แต่ถูกใจสายโลคอล ทั้งร้านแบบญี่ปุ่นมาก ๆ ฟิวชันหน่อย ๆ ไปจนถึงร้านที่มีหลายสาขา แต่คนญี่ปุ่นก็เดินเข้าออกกันตลอดเวลา รวมถึงร้านที่เหมาะมาก ๆ ในการแวะช่วงหน้าร้อนแบบนี้ เผื่อจะได้ลิสต์ง่าย ๆ แต่ก็น่าลองไม่แพ้ร้านฮิตในโซเชียลเหมือนกัน
RAKERU – 7 สาขาในโตเกียว
ร้านข้าวห่อไข่ หรือที่เรียกว่า Omu Rice (โอมุไรซ์) ที่หลายคนน่าจะรู้จักและเคยลองมาแล้ว (และหลาย ๆ คนก็อาจยังไม่เคยเลย) ตัวร้านทุกสาขาจะมาแบบน่ารักฟีลบ้านเล็กในป่าใหญ่ พนักงานในร้านจะใส่ชุดราเชลเดรสน่ารัก ที่ทั้งร้านจะขายข้าวห่อไข่หลากหลายรูปแบบมาก ๆ
และของเด็ดของร้านที่กลับไม่ใช่ข้าวห่อไข่ แต่เป็นขนมปังอบชิ้นโต เนื้อเหนียวนุ่มและหอมเนยมาก ๆ ซึ่งร้านแรกของเขาจะอยู่ที่ชิบูย่า และเปิดมานานกว่า 60 ปีแล้ว แนะนำว่าให้สั่งเมนูที่มีเขียนว่า Kuku จะได้มันฝรั่งอบทั้งลูก และขนมปังเสิร์ฟในจานมาแล้วด้วยนะ
สาขาที่เราไปกิน – Ikebukuro
เปิดทุกวัน เวลา 11:00 – 21:30 น.
สถานี Ikebukuro ทางออก 35 แล้วเดิน
Yakiniku ANAN – มีหลายสาขาในโตเกียว
ร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินใกล้สถานีรถไฟโยโยงิ ที่ต้องบอกว่านักท่องเที่ยวอาจยังไม่ค่อยรู้ แต่วัยรุ่นญี่ปุ่นแน่นร้านมาก ๆ นั่นเป็นเพราะร้านนี้จำหน่ายเนื้อในราคาเพียงจานละ 290 เยนเท่านั้น (คุ้มมากกก)
เดี่ยว ซึ่งแต่ละวันก็จะมีเมนูพิเศษที่เอามาจำหน่ายในราคาเพียง 290 เยน เพิ่มเติมด้วย วันนั้นเราได้กินลิ้นวัวนุ่ม ๆ ในราคาเพียงจานละ 67 บาท ไม่มีอะไรคุ้มไปกว่านี้แล้วล่ะ!
สาขาที่เราไปกิน – Yoyogi
เปิดทุกวัน 17:00 – 02:00 น.
(วันเสาร์ – อาทิตย์ เปิด 11:30 น. และวันศุกร์ – เสาร์ ปิด 04:30 น.)
สถานี Yoyogi ทางออก West แล้วเดิน
Seafood Bar Ermitage – Yoyogi
ยังคงอยู่ในย่านโยโยงิอยู่ เพราะมีร้านอาหารฟิวชัน ญี่ปุ่น – ยุโรป ที่เริ่มเป็นกระแสมากขึ้นแล้วในปัจจุบัน นอกจากจะเป็นร้านอาหารที่เหมาะกิบดินเนอร์แล้ว ที่นี่ยังเป็นไวน์บาร์ที่มีไวน์หลากหลายให้เราเลือกอีกด้วย
แต่เมนูที่หลายคนมาแล้วก็ต้องสั่ง หนีไม่พ้น Salmon Katsu Donburi (2,530 เยน) เนื้อแซลมอนชิ้นหนาจากนอร์เวย์ นำมาชุบกับเกล็ดขนมปังแล้วทอดจนข้างนอกกรอบ แต่เนื้อแซลมอนยังคงดิบอยู่ เวลากินจะเสิร์ฟมาพร้อมกับอิคุระและโทบิโกะ จะกินคู่กับทาทาร์ซอส หรือราดน้ำสลัดเพิ่มเติม ก็อร่อยไปอีกแบบนะ แต่แนะนำว่าให้จองโต๊ะมาก่อนล่ะ เพราะเต็มเร็วมากกก
เปิดทุกวัน เวลา 11:00 – 23:00 น.
(แต่ขอแนะนำว่าถ้าเลย 3 ทุ่มไปแล้วก็ระวังเล็กน้อย เพราะวันแรกที่เราไป ถึงร้านประมาณเกือบ 4 ทุ่ม ก็ปิดร้านแล้วล่ะ)
สถานี Yoyogi ทางออก A1 แล้วเดิน
Taiko Chaya – Asakusabashi
คนรักปลาดิบจะต้องถูกใจร้านนี้ เพราะนี่คือร้านซาชิมิและอาหารญี่ปุ่นแบบ All You Can Eat ที่จ่าย 2,100 เยนในมื้อกลางวัน! โดยนั่งกินได้ 50 นาที ตัวร้านมาในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นบ้าน ๆ และจ่ายก่อนถึงค่อยกินได้
ในร้านจะมีทั้งทูน่า ปลาหมึก แต่แซลมอนอาจไม่ได้มาเป็นชิ้นแล่หนา แต่มาเป็นส่วนของแฟตตี้โรยด้วยอิคุระมากกว่า นอกจากนี้ยังมีทั้งหอยเชลล์ ทูน่ายุกเกะ กิมจิปลาหมึก ไข่หวาน รวมไปถึงของทอดต่าง ๆ และแกงกะหรี่
เปิดทุกวัน (เว้นวันอาทิตย์) เวลา 11:00 – 14:30 น. และ 17:00 – 23:00 น.
สถานี Bakurocho ทางออก C4 แล้วเดิน
Ramen Kamo To Negi – Ueno
ลองเปลี่ยนจากราเมนชาชูที่คุ้นเคย มากินราเมนเป็ดบ้างไหม? หนึ่งในร้านราเมนเป็ดที่คนญี่ปุ่นต่อแถวกันยาวตลอดเวลา ต้องยกให้ร้านนี้ในย่านอุเอโนะนี่แหละ พนักงานต้อนรับที่นี่พูดได้ทั้งภาษาญี่ปุ่น อังกฤษ และจีน โดยเราจะต้องไปกดสั่งเมนูที่ตู้อัตโนมัติก่อน แล้วจึงมาต่อแถวรอเข้าคิวอีกครั้ง
นอกจากซุปที่มาแบบไลต์ ๆ คล่องคอ และเป็ดที่ไม่สาบเลย แถมยังนุ่มมาก ๆ จนเผลอนอกใจชาชูที่รักอยู่ไม่น้อย จุดเด่นอีกอย่างของร้านคือนี้ “ต้นหอม” ที่เราสามารถเลือกได้ 2 จาก 3 อย่างที่ทางร้านเตรียมไว้ ทั้งโคนต้นหอมที่เอาไปตุ๋นจนเปื่อย ต้นหอมเขียวซอย และต้นหอมขาวซอย
เปิดทุกวัน เวลา 09:00 – 04:00 น.
(แต่ของจะเริ่มทยอยหมดตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้วนะ อยากกินแบบเมนูครงควรไปตอนกลางวัน)
สถานี Okachimachi ทางออก 3 แล้วเดิน
Shinjidai – มีหลายสาขาทั่วโตเกียว และทั่วญี่ปุ่น
อีกหนึ่งร้านอิซะกะยะที่เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักอยู่แล้ว เพราะเป็นร้านในดวงใจของผู้ที่ชื่นชอบหนังไก่ทอดมาก ๆ กับร้านที่ขายหนังไก่ทอดเสียบไม้ แล้วนำไปชุบซอสพิเศษของทางร้าน ในราคาเพียงไม้ละ 50 เยนเท่านั้น (ประมาณไม้ละ 12 บาท) และยังมีไฮบอลที่เริ่มต้นเพียงแก้วละ 190 เยนอีกด้วย ทำให้ร้านนี้เป็นที่นิยมของวัยรุ่นญี่ปุ่นมาก ๆ เลยล่ะ
แม้ว่าหลาย ๆ สาขาจะไม่มีภาษาอังกฤษ และพนักงานก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเมนูส่วนใหญ่ก็มีภาพประกอบมาให้ หรือใช้ Google Translate แปลเอาก็ได้นะ
สาขาที่เราไปกิน – Shinjuku
เปิดทุกวัน เวลา 17:00 – 05:00 น.
(วันเสาร์ – อาทิตย์ เปิด 12:00 น. และวันศุกร์ เปิด 14:00 น.)
สถานี Shinjuku ทางออก 5 แล้วเดิน
Nephew – Yoyogi Park
อีกหนึ่งกิจกรรมในช่วงหน้าร้อน ที่เวลามาโตเกียวแล้วชอบทำ นั่นคือการไปนั่งใต้ต้นไม้ หรือเดินเล่นในสวนสาธารณะ และสวน Yoyogi ก็เป็นอีกหนึ่งสวสนกลางเมืองที่เราชอบแวะ เสร็จจากการเดินเล่นแล้ว ยังมีคาเฟ่ที่อยู่ไม่ไกลกันอย่าง Nephew ที่เป็นจุดหมายของใครหลายคนตลอดเวลา
ตัวร้านตั้งอยู่บนถนนเส้นเล็ก ๆ ในย่าน Tomigaya ตกแต่งออกมาในโทนสีเบจ – น้ำเงิน โดยได้แรงบันดาลใจมาจากร้านสไตล์อินดัสเทรียลของออสเตรเลีย และตกแต่งในสไตล์สแกนดิเนเวียนิด ๆ แอบบอกว่าตอนกลางวันเป็นคาเฟ่ แต่ตกเย็น ร้านจะเปลี่ยนตัวเองเป็นไวน์บาร์ด้วยนะ
ทางร้านจะใช้เมล็ดกาแฟจาก Overview Coffee มาพร้อมกับเบเกอรีโฮมเมดดี ๆ มากมาย พนักงานสามารถแนะนำเป็นภาษาอังกฤษกับเราได้ปร๋อ เราลองสั่ง Americano (550 เยน) ที่ติดเปรี้ยวปลายเล็กน้อย และ Latte (650 เยน) ตัวนมค่อนข้างแน่น แต่ยังได้รสกาแฟชัด
พร้อมกับขนมที่ทางร้านแนะนำอย่าง Crumble Cake (650 เยน) ขนมตัวพิเศษที่ไม่ได้มีทุกวัน แนะนำให้ตัดแนวสูงแล้วกินคำเดียว จะได้ทั้งความนุ่มและกรุบกรอบ กับ Lemon Pound Cake (500 เยน) เค้กเลเมอนเนื้อแน่นเปรี้ยวหวาน ที่เข้ากับกาแฟได้ดี
あいと電氣餅店 – Yoyogi Park
ร้อน ๆ แบบนี้ ได้มัตฉะเย็นสักแก้วก็ชื่นใจไม่น้อยใช่ไหมล่ะ นี่คือร้านมัตฉะและขนมญี่ปุ่นวะกะชิที่อยู่ไม่ไกลจาก Nephew ก่อนหน้านี้ (แบบเดินไม่ถึง 5 นาที) ตัวร้านเล็ก ๆ ตกแต่งมาในสไตล์ Japanese Modern เน้นสีขาว มาพร้อมเคาน์เตอร์ทรงกลมที่มีขนมตัวอย่างของแต่ละวันวางให้เราได้เห็นหน้าตากันจริง ๆ และที่ร้านมีที่นั่งน้อยมาก ๆ ดังนั้นเหมาะกับการซื้อกลับมากกว่านะ
นอกจากมัตฉะแล้ว ไฮไลต์ของที่ร้านจะเป็นเมนูไดฟุกุปั้นสด ที่มีไส้ให้เลือกหลากหลาย ทำจากข้าวโมจิ 100% และปั้นสดทุกวัน แบบไม่ปรุงแต่งหรือใส่สารกันบูด เช่นเดียวกับการทำเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ทำให้ไดฟุกุของที่นี่ต้องกิืนภายใน 5 ชั่วโมงเท่านั้นนะ
แต่ด้วยอากาศร้อน เราลองสั่งเป็น มัตฉะเย็น (540 เยน) มัตฉะเกรดพิธีการชงสด ๆ มีความฝาดเล็กน้อย และกินหญ้ากับสาหร่ายปลาย ๆ เป็นอีกหนึ่งแก้วที่สดชื่นทีเดียวล่ะ
Bridge Coffee And Ice Cream
ร้อนแบบนี้ ยังไงก็ต้องไอศกรีม! นี่คือคาเฟ่ที่โดดเด่นทั้งกาแฟในไอศกรีมในที่เดียวกัน ตัวร้านโดดเด่นด้วยการใช้กระเบื้องลายอิฐสีดำกรุผนังหน้าร้านเอาไว้ แต่เมื่อเข้าไปข้างในแล้วจะได้บรรยากาศโฮมมี่ กับโต๊ะไม้ และกำแพงขาวโชว์คานหนาด้่านบนอย่างชัดเจน ได้ไวบ์แบบบรูกลินนิด ๆ
ทางร้านจะมีเมล็ดให้เลือกถึง 4 ตัว ได้แก่ บราซิล กัวเตมาลา โคลอมเบีย และเอธิโอเปีย เมนูเด็ดที่มาแล้วยังไงก็ต้องสั่งคือ Caffe Con Gelato (750 เยน) ที่สามารถเปลี่ยนจากช็อตเอสเพรสโซ เป็นราดด้วยลาเต้ได้เช่นกัน (เพิ่มอีก 50 เยน) โดยราดลงกับไอศกรีมรสชาติอะไรก็ได้ตามใจ โดยทุกวันจะมีไอศกรีมให้เลือกประมาณ 6 รสชาติ เปลี่ยนไปในทุกวัน เราเลือกเป็น Pistachio หอม ๆ มัน ๆ เข้ากับช็อตกาแฟได้ดี
อีกแก้วลองเป็น Today’s Hand Drip Coffee (600 เยน) ในวันที่เราไปเป็นเมล็ด Brazil Pulped Natural รสชาติคอมเพล็กซ์หน่อย ๆ
Suzukien
อีกหนึ่งร้านยอดฮิตของคนรักไอศกรีมมัตฉะหลังวัดอะซะคุสะ (ที่หลายคนน่าจะเคยลิ้มลองมาแล้วแหละ) ในวันร้อน ๆ เราก้ต้องการแค่ไอศกรีมดับร้อนก็พอใจ ที่นี่พร้อมเสิร์ฟไอศกรีมเจลาโตรสมัตฉะที่มีระดับความเข้มให้เลือกถึง 7 ระดับ (แต่ก็มีรสชาติอื่นนอกจากมัตฉะด้วยนะ ทั้งโฮจิฉะ เก็นไมฉะ งาดำ และถั่วแดงกวน)
แบรนด์ Suzukien เป็น Tea House ที่มีอายุมากกว่า 150 ปีแล้ว ตัวเจลาโตของเขาเลือกใช้มัตฉะจาก Nanaya ในจังหวัด Shizuoka ตอนนี้ที่ร้านให้สั่งข้างล่าง แล้วขึ้นไปทานที่ชั้น 2 นะ (หรือจะถือออกไปเดินกินชิลล์ ๆ ก็ได้)
แล้วเพื่อน ๆ มี ร้านอาหาร และ คาเฟ่ ญี่ปุ่นสไตล์โลคอลใน โตเกียว ร้านไหนในดวงใจกันบ้าง มาแชร์ให้เราได้รู้กัน จะได้แอบไปตามรอยบ้างยังไงล่ะ!